แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายเฮโรอีนตามฟ้องโจทก์ จำเลยมิได้อุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงดังกล่าวคงมีแต่โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่าการกระทำของจำเลยดังข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยเป็นความผิดสองกรรมศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยเพียงกรรมเดียวเป็นการไม่ถูกต้อง ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกับจำหน่ายเฮโรอีนจึงเป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดสองกรรมแม้โจทก์จะมิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้องก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทและหลายกรรมต่างกัน ศาลก็ต้องเรียงกระทงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทและหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยได้บังอาจมีเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 หนัก 0.39 กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำเลยได้บังอาจจำหน่ายเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์แก่ผู้มีชื่อจำนวน 2 หลอด ราคา 40 บาท โดยไม่ได้รับอนุญาตเจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยเฮโรอีนและเงินสด 40 บาทเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนจริง พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 จำคุกจำเลย 5 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ริบเฮโรอีนของกลาง คำขออื่นให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ขอให้เรียงกระทงลงโทษ
ศาลอุธรณ์วินิจฉัยว่า การที่จำเลยจำหน่ายเฮโรอีนไป2 หลอดและยังคงเหลือไว้ในครอบครองของจำเลยอีก 10 หลอดนั้น แยกการกระทำของจำเลยได้เป็นสองกรรมต่างหากจากกันเป็นสองกระทงความผิด พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคแรก ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำคุก 5 ปี กระทงหนึ่ง และฐานจำหน่ายเฮโรอีนจำคุก 5 ปีอีกกระทงหนึ่งรวมจำคุก 10 ปี จำเลยให้การรับสารภาพชั้นสอบสวนมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนนั้นเมื่อศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและได้จำหน่ายเฮโรอีนจริงดังโจทก์ฟ้อง จำเลยก็มิได้อุทธรณ์โต้เถียงข้อเท็จจริงดังกล่าว คงมีแต่โจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายว่า การกระทำของจำเลยดังข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนั้นเป็นความผิดสองกรรม แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยเพียงกรรมเดียวเป็นการไม่ถูกต้อง ดังนั้นข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายกับจำหน่ายเฮโรอีนจึงเป็นอันยุติไปแล้วตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นและมิใช่เป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยกระทำความผิดสองกรรม แม้โจทก์จะมิได้อ้างประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 มาในคำขอท้ายฟ้อง แต่โจทก์ก็ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายบทและหลายกรรมต่างกัน ศาลจึงต้องเรียงกระทงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 ดังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
พิพากษายืน