แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ซึ่งเป็นบริษัททำการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้ากับธนาคารหลายครั้งหลายช่วงเวลา มีรายรับอันเป็นกำไรจากการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าดังกล่าว ประกอบกับโจทก์ได้จดทะเบียนการค้าประเภทการค้า 12 ธนาคาร ชนิด 1 ไว้ด้วย เช่นนี้ถือได้ว่าโจทก์ประกอบกิจการเป็นปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้า โจทก์จึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากกำไรอันเกิดจากการประกอบกิจการค้า ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 12 ธนาคาร ชนิด 2 แถลงการณ์ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาล่วงหน้าด้วยเงินสกุลอื่น เป็นเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมเงินตราต่างประเทศที่ให้ผู้ประกอบธุรกิจซึ่งมีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินตราต่างประเทศเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกาสามารถซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาล่วงหน้า และชำระด้วยเงินสกุลอื่นนอกเหนือจากเงินบาทได้เท่านั้น หามีผลทำให้หน้าที่ในการเสียภาษีการค้าดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรเปลี่ยนแปลงไปไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ได้ประเมินและมีคำวินิจฉัยอุทธรณ์ให้โจทก์เสียภาษีการค้าประเภทการค้า 12 ธนาคารชนิด 2 ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายเพราะโจทก์มิได้ประกอบกิจการธนาคารพาณิชย์หรือกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าว
จำเลยทั้งสี่ให้การว่าการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ว่า โจทก์จะต้องเสียภาษีการค้าตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 12 ธนาคาร ชนิด 2 หรือไม่ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นบริษัทจำกัดและได้จดทะเบียนการค้าประเภทการค้า 12 ธนาคาร ชนิด 1 ไว้เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2528 โจทก์ได้กู้เงินจากธนาคารกรุงเทพจำกัด สาขาฮ่องกง จำนวน 28 ล้านฟรังก์สวิส และโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้ากับธนาคารกรุงเทพ จำกัดสำนักงานใหญ่ การซื้อขายไม่มีการส่งมอบเงินตราต่างประเทศระหว่างกันหรือส่งเงินตราไปนอกราชอาณาจักร โจทก์มีรายรับอันเป็นกำไรจากการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าในปี 2528 เป็นเงิน 28,061,419.02บาท ในปี 2529 เป็นเงิน 808,687.80 บาท เห็นว่า การที่โจทก์ทำการซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้ากับธนาคารหลายครั้งหลายช่วงเวลาเช่นตามเอกสารหมาย จ.15 และ จ.16 ประกอบกับโจทก์ได้จดทะเบียนการค้าประเภทการค้า 12 ธนาคาร ชนิด 1 ตามเอกสารหมาย ล.8แผ่นที่ 67 เช่นนี้ถือได้ว่า โจทก์ประกอบกิจการเป็นปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าโจทก์จึงมีหน้าที่เสียภาษีการค้าจากกำไรอันเกิดจากการประกอบการค้าดังกล่าว ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าประเภทการค้า 12 ธนาคาร ชนิด 2ที่โจทก์อ้างในอุทธรณ์ว่าธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ให้ผู้ประกอบธุรกิจที่มีภาระผูกพันจะต้องจ่ายเงินตราต่างประเทศชำระหนี้ สามารถซื้อเงินตราต่างประเทศไว้ล่วงหน้าได้ โจทก์จึงไม่ต้องเสียภาษีการค้านั้น เห็นว่าแถลงการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยฉบับดังกล่าวเป็นเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมเงินตราต่างประเทศที่ให้ผู้ประกอบธุรกิจที่มีภาระผูกพันที่จะต้องจ่ายเงินตราต่างประเทศเป็นเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐอเมริกา สามารถซื้อเงินดอลลาร์สหรัฐอเมริกาล่วงหน้าและชำระด้วยเงินสกุลอื่นนอกเหนือจากเงินบาทได้เท่านั้น หามีผลทำให้หน้าที่ในการเสียภาษีการค้าดังที่บัญญัติไว้ในประมวลรัษฎากรเปลี่ยนแปลงไปไม่ ที่ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ชอบแล้ว อุทธรณ์ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน