แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสองสันนิษฐานเด็ดขาดว่า การมีเฮโรอีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ส่วนในกรณีที่เฮโรอีนในครอบครองมีปริมาณน้อยกว่านั้น ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่ายก็ย่อมเป็นความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายได้ เมื่อคดีมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์แล้ว ศาลอุทธรณ์มีอำนาจใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยในความผิดที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยให้เหมาะสมได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 7, 15, 66, 67, 102 ประกาศกระทรวงสาธารณสุขฉบับที่ 2 (พ.ศ. 2522) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ข้อ 1 ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 6)พ.ศ. 2526 มาตรา 4 ริบเฮโรอีนและหลอดพลาสติกของกลาง คืนเงินแก่เจ้าของและนับโทษจำเลยต่อจากโจทก์ในคดีหมายเลขดำที่25/2530 ของศาลชั้นต้น
จำเลยให้การรับสารภาพว่ามีเฮโรอีนไว้ในครอบครอง แต่มิได้มีไว้เพื่อจำหน่ายและรับว่าเป็นบุคคลเดียวกับจำเลยในคดีหมายเลขดำที่ 25/2530 ของศาลชั้นต้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 20 ปี จำเลยรับสารภาพว่ามีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาในความผิดส่วนนี้ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 13 ปี4 เดือน และมีความผิดฐานจำหน่ายเฮโรอีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคหนึ่ง อีกกระทงหนึ่ง จำคุก 20 ปีรวมจำคุก 33 ปี 4 เดือน ริบเฮโรอีนและหลอดพลาสติกของกลางคืนเงินแก่เจ้าของส่วนคำขอให้นับโทษจำเลยต่อนั้น ปรากฏว่าคดีดังกล่าวศาลลงโทษปรับจำเลยจึงนับโทษต่อไม่ได้ ให้ยกคำขอ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี และฐานจำหน่ายเฮโรอีนจำคุก 10 ปี ลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุกจำเลยกระทงละ 6 ปี 8 เดือน รวมโทษ 2 กระทงเป็นจำคุกจำเลย 13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 15 บัญญัติความว่า การมีไว้ในครอบครองซึ่งยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่เฮโรอีนของกลางมีเพียง5.971 กรัมเท่านั้น ตามเจตนารมณ์ของกฎหมายจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยมีเฮโรอีนของกลางไว้เพื่อจำหน่ายนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ตามบทกฎหมายที่จำเลยอ้าง เป็นข้อสันนิษฐานเด็ดขาดว่าการมีเฮโรอีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ตั้งแต่ยี่สิบกรัมขึ้นไปให้ถือว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย แต่ในกรณีที่เฮโรอีนในครอบครองมีปริมาณน้อยกว่านั้น ถ้าข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่ายก็ย่อมเป็นความผิดฐานมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย หาใช่กฎหมายมีเจตนารมณ์ดังจำเลยอ้างไม่
ส่วนที่โจทก์ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า จำเลยอุทธรณ์เฉพาะข้อหาฐานจำหน่ายเฮโรอีนเท่านั้น ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจึงยุติเพียงศาลชั้นต้นการที่ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษของจำเลยในความผิดฐานนี้ใหม่จึงเป็นการไม่ชอบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อคดีขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์แล้ว ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยในความผิดที่มิได้อุทธรณ์ขึ้นมาด้วยให้เหมาะสมได้ แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อได้พิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยแล้วปรากฏว่า จำเลยได้อุทธรณ์ด้วยว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและหากศาลอุทธรณ์ฟังว่าจำเลยผิด การกำหนดโทษของศาลชั้นต้นก็สูงเกินควรแก่พฤติการณ์ กรณีจึงหาเป็นไปดังที่โจทก์ได้อ้างมาในฎีกาไม่”
พิพากษายืน