แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
เจ้าพนักงานตำรวจวิ่งไล่ตามจับจำเลยซึ่งวิ่งหนีไปในระยะห่างกันประมาณ 50 เมตร จำเลยหันกลับมาแล้วใช้ปืนยิงมาที่เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งวิ่งนำหน้า 1 นัด เมื่อพฤติการณ์ที่จำเลยยิงดังกล่าวฟังไม่ได้ว่าเป็นการยิงในลักษณะมุ่งเล็งต่อเป้าหมาย ทั้งตามบันทึกการจับกุมก็ระบุแต่เพียงว่าจำเลยยิงสกัดกั้นการติดตามของเจ้าพนักงานตำรวจ แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะยิงเจ้าพนักงานตำรวจคนหนึ่งคนใด หากเป็นเพียงการยิงขู่เพื่อมิให้เจ้าพนักงานติดตามจับกุมเท่านั้น จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานโดยมีอาวุธปืน พยายามฆ่าเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่มีอาวุธปืนไม่มีหมายเลขทะเบียนไว้ในครอบครอง และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 138, 140 จำคุก 4 ปีมาตรา 289, 80 จำคุกตลอดชีวิต ความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯฐานมีอาวุธปืนฯ จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืน จำคุก 6 เดือน เมื่อศาลพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่นำโทษมารวมเข้ากันอีกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3) จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ยกฟ้องโจทก์ฐานพยายามฆ่าเจ้าพนักงานลงโทษฐานต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงาน จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 2 ปี6 เดือน นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นฎีกาเฉพาะฟ้องโจทก์ในข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานตามที่โจทก์ฎีกาขึ้นมาว่าการกระทำของจำเลยเข้าข่ายเป็นความผิดตามที่ถูกกล่าวหาอีกกระทงหนึ่งด้วยหรือไม่ สำหรับข้อหาดังกล่าวข้อเท็จจริงได้ความจากร้อยตำรวจโทสมจิตร สินชาติ และร้อยตำรวจตรีพิพิธ บุญมีและคณะที่ได้แบ่งกำลังกันออกเป็นสองฝ่ายในการเข้าทำการจับกุมจำเลยซึ่งหลบซ่อนอยู่ในบ้านในบริเวณที่เกิดเหตุว่า เมื่อจำเลยเห็นเจ้าพนักงานได้ออกวิ่งหนีจากใต้ถุนบ้านไปทางทิศตะวันออกในมือถือปืนสั้น ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทุกปากได้ความตรงกันว่าขณะเจ้าพนักงานกำลังวิ่งไล่ตามจำเลยซึ่งวิ่งหนีไปในระยะห่างกันประมาณ 50 เมตร จำเลยได้หันกลับมาแล้วใช้ปืนยิงมาที่สิบตำรวจโทอุดร สีไพสน ซึ่งวิ่งนำหน้า 1 นัด สิบตำรวจโทอุดรจึงยิงโต้ตอบไป จำเลยวิ่งหนีต่อไปอีกประมาณ 100 เมตร ก็ไปล้มลงและจึงถูกจับกุมตัวไว้ ปรากฏว่าจำเลยถูกกระสุนปืนที่หลังแถบซ้ายเจ้าพนักงานยึดได้อาวุธปืนจากจำเลยซึ่งเป็นปืนพกลูกซองขนาด 12และกระสุน 1 นัด เป็นของกลาง เห็นว่าพฤติการณ์ที่จำเลยยิงขณะกำลังวิ่งหนีการติดตามของเจ้าพนักงานตำรวจในระยะยังอยู่ห่างกันถึง 50 เมตร ไม่น่าเชื่อว่าเป็นการยิงในลักษณะมุ่งเล็งต่อเป้าหมายทั้งตามบันทึกการจับกุมก็ระบุแต่เพียงว่าจำเลยยิงสกัดกั้นการติดตามของเจ้าพนักงานตำรวจเพียง 1 นัด แสดงว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะยิงเจ้าพนักงานตำรวจคนหนึ่งคนใด หากเป็นเพียงการยิงขู่เพื่อมิให้เจ้าพนักงานติดตามจับกุมเท่านั้น ที่ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาพยายามฆ่า ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน