คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3572/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 3 มิได้แต่งตั้งให้ป.เป็นทนายความหรือมอบอำนาจให้ป.ฟ้องคดีแทน ป.จึงไม่มีอำนาจยื่นฎีกาแทนจำเลยที่ 3 ฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงเป็นคำคู่ความที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ขึ้นมา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ไม่ได้ พนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1และที่ 2 โดยวิธีปิดหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 79 วรรคสอง ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทราบคำบังคับหลังจากล่วงพ้นไปแล้ว 15 วัน จำเลยที่ 1 และที่ 2ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อล่วงเลยระยะเวลา 15 วันนับแต่วันที่การส่งคำบังคับมีผลจึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้ กำหนดระยะเวลา 6 เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 208 ตอนท้าย จะนำมาใช้บังคับต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษนอกเหนือไม่อาจบังคับได้อันเป็นผลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่อาจยื่นคำขอภายในกำหนด 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือภายในระยะเวลาตามคำกำหนดของศาล แต่ตามคำขอของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้อ้างพฤติการณ์พิเศษนอกเหนือไม่อาจบังคับได้ไว้ จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันชำระหนี้ตามสัญญาบัญชีเดินสะพัด กู้เบิกเงินเกินบัญชี ค้ำประกัน และจำนองจำเลยทั้งสามขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีไปฝ่ายเดียวแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกันชำระเงิน 1,053,435.55 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีจากต้นเงิน 692,244.25 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 3 ร่วมรับผิดเป็นเงิน 250,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2524 จนกว่าจำชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 2809 ตำบลแชะ อำเภอครบุรีจังหวัดนครราชสีมา พร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์จนครบ
จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องว่า จำเลยทั้งสามไม่ทราบฟ้องโจทก์และกำหนดนัดยื่นคำให้การ คดีของจำเลยทั้งสามมีทางชนะโจทก์เพราะจำเลยทั้งสามไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ จำเลยทั้งสามจึงไม่ต้องรับผิดตามฟ้อง ขอให้พิจารณาใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยทั้งสามยื่นคำร้องเมื่อพ้น 15 วันนับแต่วันส่งคำบังคับให้แก่จำเลยทั้งสาม ให้ยกคำร้อง
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยทั้งสามฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ในส่วนที่เกี่ยวกับฎีกาของจำเลยที่ 3 นั้นจำเลยที่ 3 มิได้แต่งตั้งให้นายปรีชา สุขพานิช เป็นทนายความหรือมอบอำนาจให้นายปรีชาฟ้องคดีแทน นายปรีชาจึงไม่มีอำนาจยื่นฎีกาแทนจำเลยที่ 3 ฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 จึงเป็นคำคู่ความที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ขึ้นมา ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ไม่ได้ คดีคงมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า คำขอพิจารณาใหม่ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นภายในกำหนดหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 208 วรรคแรกบัญญัติว่า “คำขอให้พิจารณาใหม่นั้นให้ยื่นต่อศาล ภายในสิบห้าวันนับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งให้แก่จำเลยแต่ถ้าศาลได้กำหนดการอย่างใด ๆ เพื่อส่งคำบังคับเช่นว่านั้นโดยวิธีส่งหมายธรรมดาหรือโดยวิธีอื่นแทนจะต้องได้มีการปฏิบัติตามคำกำหนดนั้นแล้ว อนึ่งถ้าคู่ความที่ขาดนัดไม่สามารถยื่นคำขอภายในระยะเวลาที่บัญญัติไว้ข้างบนนี้โดยพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้คู่ความฝ่ายนั้นอาจยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ได้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่พฤติการณ์นั้นได้สิ้นสุดลง แต่กรณีจะเป็นอย่างไรก็ตามห้ามมิให้ยื่นคำขอเช่นว่านี้เมื่อพ้นกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้ยึดทรัพย์หรือได้มีการบังคับตามคำพิพากษาหรือคำสั่งโดยวิธีอื่น”เห็นว่า คดีนี้ปรากฎว่าพนักงานเดินหมายนำคำบังคับไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1 และที่ 2 โดยวิธีปิดหมายเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 2534 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 79 วรรคสอง ถือว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 ทราบคำบังคับหลังจากล่วงพ้นไปแล้ว 15 วัน คือวันที่ 2 มิถุนายน 2534 จึงยื่นคำขอพิจารณาใหม่ได้ภายใน 15 วัน ซึ่งครบในวันที่ 17 มิถุนายน 2534 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ยื่นคำขอให้พิจารณาใหม่ เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2535 ล่วงเลยระยะเวลา 15 วันตามที่กฎหมายกำหนดไว้ จึงไม่มีสิทธิขอให้พิจารณาใหม่ได้ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีสิทธิยื่นคำขอภายในกำหนด 6 เดือนนั้น เห็นว่า กำหนดระยะเวลา 6 เดือน ตามบทบัญญัติดังกล่าวตอนท้ายนั้นจะนำมาใช้บังคับต่อเมื่อมีพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้อันเป็นผลให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่อาจยื่นคำขอภายในกำหนด 15 วัน นับจากวันที่ได้ส่งคำบังคับตามคำพิพากษาหรือภายในระยะเวลาตามคำกำหนดของศาล แต่ตามคำขอของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ปรากฎว่าได้อ้างพฤติการณ์นอกเหนือไม่อาจบังคับได้ไว้ จึงมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยในส่วนนี้
พิพากษายืนและยกฎีกาในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 3

Share