คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3563/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความติดใจจะยกขึ้นว่ากล่าวไม่ว่าในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกา ไม่ว่าจะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ คู่ความต้องกล่าวมาโดยชัดแจ้งในอุทธรณ์หรือฎีกา เพื่อศาลจะได้ทราบรายละเอียดว่าคู่ความติดใจอุทธรณ์หรือฎีกาโต้แย้งปัญหาใดได้โดยชัดแจ้ง เมื่อจำเลยกล่าวอุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะปฏิเสธไม่วินิจฉัยได้ เพราะไม่เป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย
ในชั้นยื่นคำร้องขอแบ่งแยกที่ดิน ก.ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานแทนจำเลยว่า จำเลยทราบแล้วว่าการจัดแบ่งที่ดินเป็นแปลงย่อยติดต่อกัน 10 แปลงขึ้นไปเพื่อจำหน่ายโดยมีค่าตอบแทน โดยมีการให้คำมั่นโดยตรงหรือโดยปริยายว่าจะจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณะต่าง ๆ หรือปรับปรุงที่นั้น ๆ ให้เป็นที่อยู่อาศัย ประกอบการพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ซึ่งผู้จัดสรรจะต้องได้รับอนุญาตตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้ การที่จำเลยที่ 1 แบ่งแยกที่ดินและจัดแบ่งที่ดินแปลงพิพาทเป็นถนนก็เพื่อประโยชน์ในการขายที่ดินของตน ถนนที่จัดแบ่งดังกล่าวเป็นสาธารณูปโภคเพื่อการขาย ตกเป็นภาระจำยอมสำหรับโจทก์ผู้ซื้อที่ดินที่จำเลย แบ่งแยกขายตามความหมายของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ข้อ 30 แล้ว จำเลยไม่มีสิทธิปิดกั้นมิให้โจทก์ผู้ซื้อที่ดินที่จำเลยแบ่งขายได้ใช้สอย
ไม่มีกฎหมายใดห้ามการจดทะเบียนภาระจำยอมตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 286 ทั้งการที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จดทะเบียนภาระจำยอมเป็นการอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมอย่างหนึ่งตาม ป.พ.พ.มาตรา 1391
ภาระจำยอมนั้นเกิดได้โดยทางนิติกรรม โดยกฎหมาย หรือโดยอายุความจากการใช้ได้ทั้งสามทาง การที่โจทก์บรรยายคำฟ้องว่า ทางพิพาทเป็นภาระจำยอมตามกฎหมายและโดยอายุความจากการใช้ หาเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไม่การที่จำเลยเข้าใจคำฟ้องและต่อสู้คดีการได้มาซึ่งภาระจำยอมของโจทก์ทั้งสองทางเป็นการแสดงอยู่ในตัวว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๐๗๘๓ ซึ่งเดิมมีเนื้อที่ ๑ ไร่ ๑ งาน ๑๙ ตารางวา จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันนำมาจัดสรรที่ดินออกเป็นแปลงย่อยรวม ๑๓ แปลงพร้อมทั้งได้ก่อสร้างตึกแถวลงบนที่ดินที่แบ่งเป็นแปลงย่อยดังกล่าวรวม ๑๐ ห้อง มีทางเข้าออกทั้งด้านหน้าและหลังตึกด้านหน้าติดกับถนนสุขุมวิท ๗๗ (ซอยอ่อนนุช) ส่วนด้านหลังตึกแถวเว้นที่ดินไว้เป็นถนนและที่จอดรถยนต์เนื้อที่ ๘๘ ตารางวา กว้าง ๖ เมตร ยาวตลอดแนวตึกและให้พื้นที่ดังกล่าวเป็นโฉนดเลขที่ดินเดิม การจัดสรรที่ดินของจำเลยเพื่อปลูกตึกแถวขายโดยจัดให้มีสาธารณูปโภคเป็นไปตามกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗ ออกตามพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ.๒๔๗๙ และประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๖ ลงวันที่ ๒๔พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ต่อมาประมาณเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๒ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๒๓โจทก์ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๘๘๖๕ ซึ่งเป็นแปลงที่แบ่งย่อยออกมาพร้อมตึกแถวเลขที่ ๔๖/๖ หมู่ที่ ๘ จากจำเลยทั้งสอง และโจทก์ได้ใช้ที่ดินบริเวณหลังตึกเป็นทางสัญจรเข้าออกสู่ถนนสุขุมวิท ๗๗ ตามที่จำเลยจัดไว้ให้ใช้โดยสงบและเปิดเผยติดต่อกันเป็นเวลามากกว่าสิบปี ถนนดังกล่าวจึงตกเป็นทางภาระจำยอมแก่ที่ดินโจทก์ต่อมาประมาณปลายปี ๒๕๓๘ จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันปิดกั้นทางเข้าออกด้านหลังตึกแถวเฉพาะห้องของโจทก์ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปิดกั้นที่ทำลงบนที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๐๗๘๓ และให้จำเลยที่ ๑ นำที่ดินแปลงดังกล่าวไปจดทะเบียนภาระจำยอมแก่ที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๔๘๘๖๕ ของโจทก์ โดยให้จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๑กับให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์อีกเดือนละ ๖๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะรื้อถอนสิ่งที่ปิดกั้นแล้วเสร็จ
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะบรรยายว่าถนนพิพาทเป็นภาระจำยอมโดยกฎหมาย และเป็นภาระจำยอมที่ใช้มาโดยสงบเปิดเผยเป็นเวลาติดต่อกันกว่า ๑๐ ปี ซึ่งขัดกันในตัว จำเลยที่ ๑ ไม่เคยจัดสรรที่ดิน จำเลยที่ ๑ เพียงแบ่งแยกในนามเจ้าของที่ดินเดิมและขายแก่บุคคลทั่วไปถนนพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ จัดทำไว้เพื่อให้จำเลยที่ ๑ และผู้เช่าบ้านของจำเลยที่ ๑ ใช้เป็นทางสัญจรเข้าออกสู่ถนนอ่อนนุชเท่านั้น ส่วนบุคคลอื่นหากจะใช้ถนนพิพาทต้องขออนุญาตจากจำเลยที่ ๑ ก่อน โจทก์ไม่เคยพักอาศัยในที่ดินและตึกแถวของโจทก์ จำเลยที่ ๑ ปิดกั้นถนนพิพาทมิให้โจทก์หรือบุคคลที่อาศัยในตึกแถวของโจทก์ผ่านเข้าออกตั้งแต่ปี ๒๕๓๑ จนถึงปัจจุบัน ที่โจทก์อ้างว่าใช้ถนนพิพาทมาเกินกว่า๑๐ ปี จึงเป็นความเท็จ ความเสียหายที่โจทก์อ้างว่าต้องไปเช่าที่จอดรถยนต์นั้นมิได้เกิดจากการกระทำของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ จึงไม่ต้องรับผิด และขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ รื้อสิ่งปิดกั้นที่ก่อขึ้นบนที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๐๗๘๓ และดำเนินการจดทะเบียนภาระจำยอมในที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวตกแก่ที่ดินโจทก์ทั้งแปลง หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๒ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์จำเลยที่ ๑ ในปัญหาที่จำเลยที่ ๑ ร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเป็นการไม่ชอบ เพราะกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบเป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนนั้น เห็นว่า ปัญหาข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่คู่ความติดใจจะยกขึ้นว่ากล่าวไม่ว่าในชั้นอุทธรณ์หรือชั้นฎีกา ไม่ว่าจะเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือไม่ คู่ความต้องกล่าวมาโดยชัดแจ้งในอุทธรณ์หรือฎีกา เพื่อศาลจะได้ทราบรายละเอียดว่าคู่ความติดใจอุทธรณ์หรือฎีกาโต้แย้งปัญหาใดได้โดยชัดแจ้ง เมื่อจำเลยที่ ๑ กล่าวอุทธรณ์ไม่ชัดแจ้งศาลอุทธรณ์ก็ชอบที่จะปฏิเสธไม่วินิจฉัยได้ เพราะไม่เป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย
สำหรับปัญหาที่จำเลยที่ ๑ โต้แย้งว่า การแบ่งแยกที่ดินของจำเลยที่ ๑ เกิน ๑๐ แปลง แต่จำเลยที่ ๑ ขายไปเพียง ๘ แปลง กรณีของจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่การจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๖ นั้นเห็นว่า ในชั้นยื่นคำร้องขอแบ่งแยกตามเอกสารหมาย จ.๓๔ นายกิตติ เนติมงคลได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานแทนจำเลยที่ ๑ ว่า จำเลยที่ ๑ ทราบแล้วว่าการจัดแบ่งที่ดินเป็นแปลงย่อยติดต่อกันตั้งแต่ ๑๐ แปลง ขึ้นไปเพื่อจำหน่ายโดยมีค่าตอบแทน โดยมีการให้คำมั่นโดยตรงหรือโดยปริยายว่าจะจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภคหรือบริการสาธารณะต่าง ๆ หรือปรับปรุงที่นั้น ๆ ให้เป็นที่อยู่อาศัย ประกอบการพาณิชย์หรืออุตสาหกรรมเป็นการจัดสรรที่ดินตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่๒๘๖ ลงวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ซึ่งผู้จัดสรรจะต้องได้รับอนุญาตตามประกาศของคณะปฏิวัติดังกล่าวเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้ ที่จำเลยที่ ๑ อ้างว่าการจัดสรรแบ่งที่ดินของจำเลยที่ ๑ ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์การจัดสรรที่ดินตามที่กล่าว เพราะจำเลยที่ ๑ ไม่ได้ให้คำมั่นว่าจะจัดให้มีสาธารณูปโภค หรือปรับปรุงใด ๆ ทั้งสิ้นแต่ข้อที่จำเลยที่ ๑ อ้างเรื่องแบ่งแยกขายเพียง ๘ แปลง นอกนั้นยกให้บุตรนั้นจำเลยที่ ๑ เพิ่งกล่าวอ้างขึ้นในชั้นสืบพยาน ซึ่งแตกต่างกับที่นายกิตติให้ถ้อยคำไว้แก่เจ้าพนักงานที่ดิน ทั้งข้อเท็จจริงฟังได้โดยจำเลยที่ ๑ ไม่ฎีกาโต้แย้งว่าการให้โดยเสน่หาแก่บุตรเกิดขึ้นเมื่อปี ๒๕๓๑ และปี ๒๕๓๔ หลังจากจำเลยที่ ๑ ก่อสร้างตึกแถวเสร็จแล้วถึง ๑๐ ปีเศษ ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ ๑ จึงไม่มีน้ำหนักรับฟัง การที่จำเลยที่ ๑ แบ่งแยกที่ดินและจัดแบ่งที่ดินแปลงพิพาทเป็นถนนก็เพื่อประโยชน์ในการขายที่ดินของตน ถนนที่จัดแบ่งดังกล่าวเป็นสาธารณูปโภคเพื่อการขายตกเป็นภาระจำยอมสำหรับโจทก์ผู้ซื้อที่ดินที่จำเลยที่ ๑ แบ่งแยกขายตามความหมายของประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๖ ข้อ ๓๐ แล้ว จำเลยที่ ๑ไม่มีสิทธิปิดกั้นมิให้โจทก์ผู้ซื้อที่ดินที่จำเลยที่ ๑ แบ่งขายได้ใช้สอย
ปัญหาตามฎีกาจำเลยที่ ๑ ข้อต่อไปที่ว่า เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าถนนพิพาทเป็นภาระจำยอมตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๖ ข้อ ๓๐ แล้วก็ไม่มีเหตุที่จำเลยที่ ๑ ต้องจดทะเบียนภาระจำยอมให้โจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสอง อีกนั้น เห็นว่า ไม่มีกฎหมายใดห้ามการจดทะเบียนภาระจำยอมตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๒๘๖ ทั้งการที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จดทะเบียนภาระจำยอมเป็นการอันจำเป็นเพื่อรักษาและใช้ภาระจำยอมอย่างหนึ่งตามประมวลฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๙๑ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้มีการจดทะเบียนภาระจำยอมทางพิพาทชอบแล้ว
สำหรับปัญหาที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า คำฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะคำฟ้องของโจทก์บรรยายว่า ถนนพิพาทเป็นภาระจำยอมตามประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๒๘๖ แล้ว กลับบรรยายคำฟ้องว่า ถนนพิพาทเป็นภาระจำยอมจากการที่โจทก์ใช้สอยมาเกิน ๑๐ ปี อีกนั้น เห็นว่า ภาระจำยอมนั้นเกิดได้โดยทางนิติกรรม โดยกฎหมาย หรือโดยอายุความจากการใช้ได้ทั้งสามทาง การที่โจทก์บรรยายคำฟ้องว่าทางพิพาทเป็นภาระจำยอมตามกฎหมายและโดยอายุความจากการใช้ หาเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมแต่อย่างใด การที่จำเลยที่ ๑ เข้าใจคำฟ้องและต่อสู้คดีการได้มาซึ่งภาระจำยอมของโจทก์ทั้งสองทาง เป็นการแสดงอยู่ในตัวว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุม ไม่ทำให้จำเลยที่ ๑ หลงต่อสู้คดีแต่อย่างใด
พิพากษายืน.

Share