แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์อายุ 82 ปี ชราภาพมากแล้ว มีค่าใช้จ่ายน้อยโดยเป็นค่าอาหารเพียงเดือนละ 100 บาท ค่าเสื้อผ่าปีละ 200 บาท โจทก์มีบุตรหลายคนช่วยกันอุปการะเลี้ยงดูไม่เดือดร้อน ตามสถานภาพของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าเป็นคนยากไร้ ทั้งจำเลยเองก็เป็นลูกจ้างได้เงินเดือนเพียง 600 บาท มีบุตร 1 คน ต้องเลี้ยงดู ที่ดินที่ได้รับการยกให้จำเลยก็มอบให้ ก. น้องชายจำเลยทำกิน โดยก.ได้นำข้าวที่ได้แบ่งไปเลี้ยงดูโจทก์ด้วย แม้จำเลยจะเป็นบุตร มีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ แต่มิได้อยู่เลี้ยงดูโดยไปทำงานต่างจังหวัดปล่อยให้พี่น้องคนอื่นเลี้ยงดูแทน ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณอันจะเป็นเหตุให้ถอนคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 531(3)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) จำนวน 2 แปลง โจทก์ยกที่ดิน 2 แปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยโดยเสน่หา เป็นเวลา 3 ปีมาแล้ว โจทก์เริ่มมีฐานะยากจนลงประกอบกับมีอายุมากขึ้นไม่สามารถที่จะประกอบอาชีพได้ ทำให้ขาดแคลนอาหารและเสื้อผ้าซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต ส่วนจำเลยก็ได้ให้บุคคลอื่นเข้าเช่าทำนาในที่ดินดังกล่าวตลอดมา มีรายได้ค่าเช่าปีละประมาณ 20,000 บาท จำเลยอยู่ในฐานะที่สามารถจะให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ได้ โจทก์ได้ขออาหารและเสื้อผ้าซึ่งเป็นสิ่งของจำเป็น แต่จำเลยบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของดังกล่าวเป็นเวลา2 ปีแล้ว ถือว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์ ขอให้ศาลมีคำพิพากษาถอนคืนการให้ซึ่งที่ดิน น.ส.3 ทั้งสองแปลงดังกล่าวตามฟ้องและให้ที่ดินทั้งสองแปลงดังกล่าวตกเป็นของโจทก์ตามเดิม โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนโอนที่ดินสองแปลงดังกล่าวคืนให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2521 โจทก์ได้จดทะเบียนโอนที่ดิน 2 แปลงคือที่ดินตาม น.ส.3 เอกสารหมาย จ.1 เนื้อที่ 40 ไร่เศษ กับที่ดินตาม น.ส.3 เอกสารหมาย จ.2 เนื้อที่ 9 ไร่เศษ ให้โดยเสน่หาแก่จำเลยซึ่งเป็นบุตร โดยโจทก์ได้ยกที่ดินแปลงอื่นให้แก่บุตรคนอื่น ๆ ด้วยโจทก์คงเหลือบ้านที่ใช้อยู่อาศัยเท่านั้น โดยมีจำเลย บุตรจำเลยและนายมนตรี สีสิทธิ์ บุตรชายของโจทก์พักอาศัยรวมอยู่ด้วยต่อมาเมื่อปี 2526 จำเลยเข้าทำงานเป็นแม่บ้านที่กรุงเทพมหานครได้ค่าจ้างเดือนละ 600 บาท ส่วนที่ดินที่ได้รับการยกให้ทั้งสองแปลงมอบให้นายกุล สีสิทธิ์ น้องชายของจำเลยทำนา จำเลยกลับมาเยี่ยมโจทก์กับบุตรสาวของจำเลยเป็นครั้งคราว โดยจำเลยไม่เคยให้ความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูโจทก์ ต่อมาเมื่อกลางปี 2530 จำเลยกลับมาเยี่ยมบ้าน โจทก์ได้ทวงที่ดินที่ยกให้ทั้งสองแปลงคืนจำเลยไม่ยอมคืนโจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้ ข้อเท็จจริงยังฟังได้จากทางนำสืบของโจทก์อีกว่า โจทก์ซึ่งมีอายุ 82 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพมา 4-5 ปี แล้วโจทก์มีค่าใช้จ่ายเป็นค่าอาหารเดือนละ 100 บาท ค่าเสื้อผ้าปีละ 200 บาทโจทก์ได้รับการอุปการะเลี้ยงดูจากบุตรคนอื่น ๆ โดยไม่เดือดร้อน
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยประพฤติเนรคุณโดยบอกปัดไม่ยอมให้สิ่งของจำเป็นเลี้ยงชีวิตแก่โจทก์ผู้ให้ ในเวลาที่โจทก์ยากไร้และจำเลยยังสามารถจะให้ได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์ชราภาพมากแล้วมีค่าใช้จ่ายน้อยโดยเป็นค่าอาหารเพียงเดือนละ 100 บาทค่าเสื้อผ้าปีละ 200 บาท โจทก์มีบุตรหลายคนช่วยกันอุปการะเลี้ยงดูไม่เดือดร้อนตามสถานภาพของโจทก์ยังถือไม่ได้ว่าเป็นคนยากไร้ทั้งจำเลยเองก็เป็นลูกจ้างอยู่ที่กรุงเทพมหานครได้เงินเดือนเพียง600 บาท มีบุตร 1 คน ต้องเลี้ยงดู ที่ดินที่ได้รับการยกให้จำเลยก็มอบให้นายกุลทำกิน โดยนายกุลได้นำข้าวที่ได้แบ่งไปเลี้ยงดูโจทก์ด้วย แม้จำเลยจะเป็นบุตรมีหน้าที่ต้องอุปการะเลี้ยงดูโจทก์แต่มิได้อยู่เลี้ยงดูโดยไปทำงานที่กรุงเทพมหานครปล่อยให้พี่น้องคนอื่นเลี้ยงดูแทน ก็ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณอันจะเป็นเหตุให้ถอนคืนการให้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531(3)ดังที่โจทก์กล่าวอ้าง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง”
พิพากษายืน