แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เดิมจำเลยได้เป็นโจทก์ฟ้อง ด. เจ้าของเดิมของที่พิพาทว่า ในที่พิพาทมีทางจำเป็น ด. ยอมให้จำเลยใช้มากว่าสิบปี ตกเป็นภารจำยอม ด. ต่อสู้ว่าทางในที่พิพาทไม่ใช่ทางภารจำยอมหรือทางจำเป็น คดียังไม่มีการสืบพยานจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับ ด. มีข้อความว่าด. ยอมให้จำเลยเช่าทางพิพาทตามสภาพเดิม ในอัตราค่าเช่าเดือนละ 100 บาท จำเลยตกลงเช่า.ดังนี้ ข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความนั้นย่อมระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 ครั้นต่อมา ด.ขายที่พิพาทให้โจทก์ โจทก์บอกเลิกการเช่า แล้วโจทก์มาฟ้องขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับที่พิพาท จำเลยจะอ้างสิทธิอันมีมาก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นข้อต่อสู้ฟ้องแย้งขอแสดงว่ามีทางอันเป็นภารจำยอมในที่พิพาทอีกหาได้ไม่
สิทธิในภารจำยอมอาจสิ้นสุดลงได้ด้วยเหตุหลายประการ ไม่เฉพาะที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1397,1399 เท่านั้น ภารจำยอมอาจสิ้นสุดลงโดยนิติกรรมระหว่างเจ้าของสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ตกลงกันให้ภารจำยอมที่มีอยู่ระงับสิ้นไปก็ได้ โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1299 และ1301 เมื่อจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทเรื่องภารจำยอมกับ ด. เจ้าของที่พิพาทเดิม จนศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว จำเลยและ ด. ย่อมจะต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีนั้น เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิอ้างทางภารจำยอมมายัน ด.จำเลยย่อมจะอ้างทางภารจำยอมมายันโจทก์ผู้รับโอนที่พิพาทจาก ด. ไม่ได้ด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เดิมจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายดำรง งามวงศ์วานเช่าที่ดินของนายดำรงในอัตราค่าเช่าเดือนละ100 บาท ต่อมาโจทก์ซื้อที่ดินจากนายดำรงและแจ้งให้จำเลยติดต่อกับโจทก์ จำเลยไม่ยอมมา โจทก์ให้นายดำรงบอกเลิกการเช่าแล้ว ขอให้ห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 100 บาท
จำเลยต่อสู้ว่า จำเลยใช้ที่พิพาทเป็นทางเข้าออกมา 10 ปีเศษแล้ว เป็นทางจำเป็นและภารจำยอม ฟ้องแย้งขอให้ห้ามโจทก์มิให้ขัดขวางจำเลยในการที่จะใช้ทางพิพาทอันเป็นภารจำยอม
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามไม่ให้จำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาทของโจทก์ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 50 บาทนับจากวันฟ้องจนกว่าจะไม่เกี่ยวข้อง ให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ตามสำนวนคดีแดงที่ 147/2508 ของศาลชั้นต้นจำเลยในคดีนี้ได้เป็นโจทก์ฟ้องนายดำรง งามวงศ์วาน ซึ่งเป็นเจ้าของเดิมของที่พิพาทรายนี้เป็นจำเลย มีข้อกล่าวหาว่า ในที่พิพาทมีทางจำเป็น โดยนายดำรง งามวงศ์วาน ยอมให้จำเลยใช้มากว่า10 ปี ตกเป็นภารจำยอม นายดำรง งามวงศ์วาน ให้การต่อสู้รวมใจความว่าทางในที่พิพาทไม่ใช่ทางภารจำยอมหรือทางจำเป็นดังฟ้อง คดียังไม่ได้มีการสืบพยานในประเด็นที่ว่า ทางในที่พิพาทเป็นทางภารจำยอมหรือไม่ จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับนายดำรง งามวงศ์วานมีข้อความเพียงว่า นายดำรงยอมให้จำเลยเช่าทางพิพาทตามสภาพเดิมโดยคิดค่าเช่าเดือนละ 100 บาท จำเลยต้องชำระค่าเช่านับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2508 เป็นต้นไป และต้องชำระในต้นเดือน จำเลยตกลงเช่า ปัญหามีว่า จำเลยจะฟ้องแย้งโจทก์ในคดีนี้ในฐานะผู้รับโอนที่พิพาทจากนายดำรง งามวงศ์วาน ขอให้แสดงว่ามีทางอันเป็นภารจำยอมในที่พิพาทได้หรือไม่
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มูลกรณีที่เป็นข้ออ้างในการฟ้องของจำเลยในคดีแดงที่ 147/2508 กับฟ้องแย้งในคดีนี้ เป็นเหตุอย่างเดียวกัน คือให้เปิดทางภารจำยอมในที่พิพาทซึ่งในคดีก่อนคู่ความตกลงกันโดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความ และศาลได้พิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดไปแล้ว ข้อพิพาทที่มีอยู่ก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนั้นย่อมระงับไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 852 จำเลยจะอ้างสิทธิอันมีมาก่อนทำสัญญาประนีประนอมยอมความเป็นข้อต่อสู้ฟ้องแย้งขอแสดงว่ามีทางอันเป็นภารจำยอมในที่พิพาทอีกหาได้ไม่
ในประเด็นที่ว่า ที่ดินรายพิพาทยังตกเป็นทางภารจำยอมหรือไม่นั้น เห็นว่าสิทธิในภารจำยอมอาจสิ้นสุดลงได้ด้วยเหตุหลายประการหาได้สิ้นไปแต่เฉพาะที่บัญญัติไว้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1397, 1399 เท่านั้น ตามที่จำเลยฎีกาไม่ ภารจำยอมอาจสิ้นสุดลงโดยนิติกรรมระหว่างเจ้าของสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ตกลงให้ภารจำยอมที่มีอยู่ระงับสิ้นไปก็ได้ โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1299 และ 1301 ในคดีนี้ ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความระงับข้อพิพาทเรื่องภารจำยอมกับนายดำรงเจ้าของเดิม จนศาลมีคำพิพากษาไปแล้ว จำเลยและนายดำรงย่อมจะต้องผูกพันตามคำพิพากษาในคดีนั้น เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิอ้างทางภารจำยอมมายันนายดำรงเจ้าของเดิมได้ จำเลยจึงอ้างทางภารจำยอมมายันโจทก์ผู้รับโอนที่พิพาทมาจากนายดำรงเจ้าของเดิมไม่ได้ด้วย
พิพากษายืน