คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3558/2552

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงกันที่ที่ว่าการอำเภอท่าเรือว่า ให้รังวัดแบ่งที่ดินพิพาทออกเป็น 5 ส่วน โดยยึดการถือครองตามเดิมเป็นหลัก ทางเดินให้ใช้ทางหลังอาคารพาณิชย์กว้าง 1.2 เมตร ออกสู่ถนนทางด้านข้างอาคารพาณิชย์ถึงถนนสาธารณะโดยให้ใช้ได้ตลอดไป ส่วนท่อระบายนำให้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยขุดลอกหน้าท่อระบายน้ำให้มีระดับต่ำกว่าปากท่อ สามารถให้น้ำไหลออกสู่ร่องของเทศบาล หากมีการซื้อขายส่วนเกินให้คิดราคา 1,800 บาท ต่อตารางวา และมีการจัดทำแผนที่โดยโจทก์และจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ บันทึกและแผนที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กันจึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ การที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งดินกันอีกตามรูปแผนที่ดังกล่าว จึงมีผลผูกพันโจทก์และจำเลยทั้งสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 4286 ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ 180 ตารางวา ตามแผนที่สังเขปเอกสารท้ายฟ้องให้แก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสองไม่ไปให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา
จำเลยทั้งสองให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการรังวัดแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ 4286 ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ให้แก่โจทก์เนื้อที่ดินจำนวน 3 ส่วน ใน 5 ส่วน หากจำเลยทั้งสองไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความให้ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองไปดำเนินการจดทะเบียนแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 4286 ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตามส่วนที่โจทก์ครอบครองทางด้านทิศตะวันตกตามแผนที่เอกสารหมาย จ.3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกันในที่ดินโฉนดเลขที่ 4286 ตำบลท่าเรือ อำเภอท่าเรือ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เนื้อที่ประมาณ 3 งาน ส่วนของโจทก์ 3 ส่วนใน 5 ส่วน คิดเป็นเนื้อที่ 180 ตารางวา ส่วนของจำเลยทั้งสองคนละ 1 ใน 5 ส่วน คิดเป็นเนื้อที่คนละ 60 ตารางวา โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างครอบครองที่ดินเป็นสัดส่วน โดยโจทก์ครอบครองทางด้านทิศตะวันตก จำเลยทั้งสองครอบครองที่ดินทางด้านทิศตะวันออกโดยจำเลยที่ 1 ครอบครองทางด้านทิศใต้ ส่วนจำเลยที่ 2 ครอบครองทางด้านทิศเหนือโจทก์และจำเลยทั้งสองต้องการแบ่งแยกที่ดิน แต่ตกลงกันไม่ได้จึงให้เจ้าหน้าที่อำเภอท่าเรือไกล่เกลี่ย โดยโจทก์ตกลงเปิดทางเดินทางด้านทิศเหนือกว้าง 1.20 เมตร และให้วางท่อระบายน้ำในที่ดินด้านทิศใต้ จากนั้นโจทก์และจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอรังวัดแบ่งแยกที่ดินที่สำนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เมื่อเจ้าหน้าที่ที่ดินรังวัดที่ดินแล้วไม่สามารถตกลงกันได้ เจ้าหน้าที่ที่ดินจึงยกเลิกการรังวัด ในการทำแผนที่วิวาทตามคำสั่งศาล โจทก์และจำเลยทั้งสองนำชี้ที่ดินส่วนที่แต่ละฝ่ายครอบครองโดยโจทก์นำชี้เนื้อที่ติดกันจะล้ำเข้าไปในส่วนที่จำเลยที่ 1 ปลูกสร้างบ้านและห้องน้ำล้ำเข้ามาในที่ดินส่วนที่เป็นของโจทก์ ส่วนที่จำเลยทั้งสองนำชี้เป็นเหตุให้ที่ดินโจทก์ถูกแบ่งออกเป็น 2 แปลง แปลงเล็กเนื้อที่ 22 ตารางวา โดยมีที่ดินของจำเลยที่ 1 และที่ 2 คั่นอยู่
มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า ควรแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ตามแผนที่วิวาทหรือไม่ เห็นว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำบันทึกข้อตกลงกันที่ที่ว่าการอำเภอท่าเรือว่า ให้รังวัดแบ่งที่ดินออกเป็น 5 ส่วน โดยยึดการถือครองตามเดิมเป็นหลัก ทางเดินให้ใช้ทางหลังอาคารพาณิชย์กว้าง 1.2 เมตร ออกสู่ถนนทางด้านข้างอาคารพาณิชย์ถึงถนนสาธารณะโดยให้ใช้ได้ตลอดไป ส่วนท่อระบายน้ำให้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าโดยขุดลอกหน้าท่อระบายน้ำให้มีระดับต่ำกว่าปากท่อ สามารถให้น้ำไหลออกสู่ร่องของเทศบาล หากมีการซื้อขายส่วนเกินให้คิดราคา 1,800 บาท ต่อตารางวา และภายหลังจัดทำแผนที่เอกสารหมาย จ.3 โจทก์และจำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้ เห็นว่า บันทึกและแผนที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นการระงับข้อพิพาทซึ่งมีอยู่ให้เสร็จไปด้วยต่างยอมผ่อนผันให้แก่กัน จึงเป็นสัญญาประนีประนอมความซึ่งนายสละ สามีโจทก์และจำเลยทั้งสองได้ลงลายมือชื่อไว้ การที่โจทก์และจำเลยทั้งสองตกลงแบ่งที่ดินกันอีกตามรูปแผนที่เอกสารหมาย จ.3 ซึ่งทั้งโจทก์และจำเลยทั้งสองลายมือชื่อรับรองไว้ จึงมีผลผูกพันคู่ความ แม้โจทก์จะมิได้ลงชื่อในบันทึกข้อตกลงด้วยตนเอง แต่พฤติการณ์โจทก์ถือได้ว่าเชิดนายสละเป็นผู้ลงลายมือชื่อกระทำการแทน มีผลเช่นเดียวกับที่โจทก์ลลายมือชื่อเอง และแผนที่ดังกล่าวถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความข้างต้น ซึ่งรูปแผนที่ตรงกับแผนที่วิวาทจึงต้องแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ที่ดินไปตามแผนที่วิวาท ฎีกาของจำเลยทั้งสองฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินไปตามแผนที่วิวาทโดยให้จำเลยที่ 1 ได้รับที่ดินในส่วนที่นำชี้และในส่วนที่ระบุว่าเป็นส่วนของโจทก์ ซึ่งอยู่ด้านทิศตะวันออกอีก 22 ตารางวา โดยให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินให้แก่โจทก์ตารางวาละ 1,800 บาท เป็นการตอบแทน ค่าใช้จ่ายในการโอนรวมทั้งภาษีเงินได้ให้ออกคนละครึ่งและให้โจทก์และจำเลยทั้งสองออกค่าใช้จ่ายในการรังวัดแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ตามส่วนของตน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ

Share