แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ทั้งสองเล่นการพนันนอกเวลาปฏิบัติงานผู้จัดการเขต 11 ของจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นต้นพิจารณาความผิดทางวินัยแล้วมี คำสั่งไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงานโจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งต่อ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ของจำเลยคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เห็นว่าควรลงโทษเพียงขั้นตัดเงินเดือนแล้วเสนอความเห็นไปยัง ผู้อำนวยการของจำเลยผู้อำนวยการซึ่งมีคำสั่งยกเลิกคำสั่งของ ผู้จัดการเขต11แล้วสั่งลงโทษโจทก์ทั้งสองใหม่เป็นตัดค่าจ้าง เดือนละ200บาทมีกำหนด 6 เดือนและให้โจทก์ทั้งสองกลับเข้า ทำงานตามเดิมดังนี้ เป็นผลให้คำสั่งของผู้จัดการเขต11ถูกเพิกถอน หรือลบล้างไปในตัวต้องถือเสมือนหนึ่งว่าจำเลยยังมิได้สั่งลงโทษ โจทก์ทั้งสองโจทก์ทั้งสองกับจำเลยจึงมีความสัมพันธ์เป็นนายจ้าง ลูกจ้างกันเช่นเดิมติดต่อกันตลอดมาโดยไม่ขาดตอนถือไม่ได้ว่า จำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสองแล้วและรับกลับเข้ามาเป็นลูกจ้างใหม่ โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างประจำรายวันของจำเลยทำหน้าที่เป็นพนักงานขับรถโดยสารประจำทาง เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2526 จำเลยมีคำสั่งของเขตการเดินรถที่ 11 ไล่โจทก์ทั้งสองออกจากงานโดยอ้างว่าการที๋โจทก์ทั้งสองกับพวกร่วมกันเล่นการพนันที่บริเวณท่าปากเกร็ดจนถูกเจ้าพนักงานจับกุม และศาลพิพากษาลงโทษนั้นเป็นความผิดอย่างร้ายแรงมีโทษถึงไล่ออกตามข้อบังคับของจำเลย ความจริงบริเวณที่โจทก์ทั้งสองกับพวกเล่นการพนันนั้นไม่ใช่สถานที่ทำการของจำเลย ซึ่งความผิดชนิดนี้ตามหนังสือของจำเลยที่ ขสมก.บ. (ว) 227/2524 กำหนดโทษเพียงลดขั้นเงินเดือนไม่ถึงไล่ออกเป็นการลงโทษเกินระดับที่กำหนดไว้ แม้ต่อมาจำเลยจะเปลี่ยนแปลงคำสั่งใหม่ให้ยกเลิกคำสั่งเดิมและลงโทษเพียงตัดค่าจ้างเดือนละ 200 บาท มีกำหนด 6 เดือน และรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงานตามเดิม ก็ถือว่าการเลิกจ้างครั้งแรกเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยและค่าเสียหายให้โจทก์ทั้งสอง ขอให้พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 47,552 บาท ค่าเสียหาย 40,000 บาท แก่โจทก์สำนวนแรกและจ่ายค่าชดเชย 43,671 บาท ค่าเสียหาย 40,000 บาท แก่โจทก์สำนวนที่สองพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันเลิกจ้าง
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า การที่โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์คำสั่งลงโทษให้ไล่ออกและจำเลยพิจารณาแล้วลดโทษให้โดยลงโทษเพียงตัดค่าจ้างกับรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงานตามเดิมนั้น ตามข้อบังคับองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ฉบับที่ 46(พ.ศ. 2524) ข้อ 57 กำหนดยกเว้นตามรับผิดของจำเลยไว้ว่า จำเลยไม่ผูกพันต้องจ่ายเงินใด ๆ หรือไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่โจทก์ในระหว่างที่ถูกไล่ออก จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยหรือค่าเสียหาย อย่างไรก็ตามถ้าจำเลยจะต้องจ่ายเงินให้แก่โจทก์ทั้งสอง กรณีที่โจทก์ทั้งสองถูกไล่ออกจากงานนั้น ถือว่าเป็นการพักงานซึ่งมีสิทธิได้รับค่าจ้างไม่เกินครึ่งหนึ่งของค่าจ้างรายเดือน ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องโจทก์ทั้งสองสำนวน
โจทก์ทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ข้อบังคับของจำเลยกำหนดให้พนักงานหรือลูกจ้างซึ่งถูกลงโทษฐานกระทำผิดวินัยมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้ เพราะมีวัตถุประสงค์ที่จะให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณากลั่นกรองอีกชั้นหนึ่งว่า ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นได้สั่งลงโทษพนักงานหรือลูกจ้างถูกต้องตามระเบียบข้อบังคับหรือกฎหมายหรือไม่ หากมีข้อผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงก็จะได้สั่งเปลี่ยนแปลงแก้ไขให้ถูกต้องหรือเหมาะสมต่อไป ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่พนักงานหรือลูกจ้างยิ่งขึ้นกรณีที่ผู้จัดการเขต 11 ซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นต้นมีคำสั่งลงโทษโจทก์ทั้งสองโดยไล่ออกจากงาน ไม่ว่าคำสั่งจะคลาดเคลื่อนหรือไม่ถูกต้องต่อระเบียบข้อบังคับของจำเลยหรือไม่ประการใดก็ตาม เมื่อโจทก์ทั้งสองได้อุทธรณ์คำสั่งต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว คำสั่งของผู้จัดการเขต 11 ย่อมยังไม่เป็นที่สุดการที่ผู้อำนวยการของจำเลยซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นสูงมีคำสั่งให้ยกเลิกคำสั่งของผู้จัดการเขต 11 เป็นผลให้คำสั่งของผู้จัดการเขต 11 ถูกเพิกถอนหรือลบล้างไปในตัว ไม่มีผลใช้บังคับ ต้องถือเสมือนหนึ่งว่าจำเลยยังมิได้สั่งลงโทษโจทก์ทั้งสองดังนั้น เมื่อผู้อำนวยการสั่งลงโทษโจทก์ทั้งสองเพียงตัดค่าจ้าง และให้โจทก์ทั้งสองกลับเข้าทำงานตามเดิม โจทก์ทั้งสองกับจำเลยจึงมีความสัมพันธ์เป็นนายจ้างลูกจ้างกันเช่นเดิม โจทก์ทั้งสองมีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยติดต่อกันตลอดมาโดยไม่ขาดตอน ไม่ใช่เป็นกรณีที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองครั้งหนึ่งแล้ว และรับโจทก์ทั้งสองกลับเข้ามาทำงานเป็นลูกจ้างใหม่ ฉะนั้น กรณีนี้จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยได้เลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหาย
พิพากษายืน