แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การขอกลับเข้ามารับราชการใหม่ของโจทก์กับการบอกเลิก รับบำนาญเป็นคนละเรื่องกัน แต่ก็ไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ยื่นเรื่องทั้งสองพร้อมกัน ทั้งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2495 มาตรา 33 วรรคสี่และวรรคห้าก็ไม่ได้กำหนดไว้ว่าจะต้องยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญตั้งแต่เมื่อใด การที่โจทก์ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญพร้อมกับหนังสือขอกลับเข้ามารับราชการใหม่โดยไม่รอให้กรมการปกครองที่โจทก์สังกัดอยู่เดิมมีคำสั่งให้โจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่เสียก่อนจึงไม่ขัดต่อมาตรา 30 วรรคสี่ พระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494มาตรา 30 วรรคห้า บัญญัติเพียงว่า การบอกเลิกรับบำนาญให้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานส่งไปยังกระทรวงการคลังจำเลย โดยผ่านกระทรวงเจ้าสังกัด มิได้กำหนดว่าต้องยื่นต่อกองคลังในกรมและกระทรวงเจ้าสังกัด การที่โจทก์ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญต่อผู้อำนวยการกองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพภายในกรมและกระทรวงเจ้าสังกัดของโจทก์ต้องถือว่าเป็นการยื่นผ่านกระทรวงเจ้าสังกัดแล้ว จำเลยจึงต้องนับเวลาราชการช่วงแรกของโจทก์รวมกับเวลาราชการช่วงที่โจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่เพื่อคำนวณบำนาญให้แก่โจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นกระทรวงในรัฐบาล กรมบัญชีกลางจำเลยที่ 2 เป็นกรมในสังกัดจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสองมีอำนาจหน้าที่พิจารณาสั่งจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 โจทก์เป็นบุคคลซึ่งมีสิทธิรับบำเหน็จบำนาญ โดยโจทก์เริ่มรับราชการตำแหน่งเสมียนมหาดไทยอำเภอเมืองพิจิตร จังหวัดพิจิตร สังกัดกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2494 ต่อมาเดือนตุลาคม 2515ได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งปลัดอำเภอตรีกิ่งอำเภอตรีเทพอำเภอวิเชียรบุรี จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2517โจทก์ลาออกจากราชการไปสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเมื่อนับอายุราชการขณะนั้นรวมทั้งเวลาราชการทวีคูณด้วยแล้วจะได้ถึง32 ปีเศษ แต่เนื่องจากโจทก์ไม่ได้รับเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 26มกราคม 2518 โจทก์จึงทำเรื่องราวขอกลับเข้ามารับราชการใหม่ทั้ง ๆ ที่โจทก์มีสิทธิได้รับบำเหน็จบำนาญตามกฎหมาย แต่ก็มิได้เคยขอรับและได้ระบุไว้ในเรื่องขอกลับเข้ามารับราชการใหม่ว่าเลิกรับบำนาญ ครั้งเมื่อวันที่ 1 กันยายน 2518 โจทก์ได้รับคำสั่งให้กลับเข้ามารับราชการใหม่ในตำแหน่งปลัดอำเภอตรีอำเภอขาณุวรลักษบุรี จังหวัดกำแพงเพชร และรับราชการเรื่อยมาจนวันที่ 30 กันยายน 2532 จึงเกษียณอายุราชการ รวมเวลาราชการตอนหลังนี้ 14 ปี กับ 11 เดือนเศษ และเมื่อรวมกับเวลาเดิมแล้วเป็นเวลา 47 ปีเศษ โจทก์ได้รับเงินเดือนเดือนสุดท้าย 7,600 บาทเมื่อคำนวณตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494มาตรา 72(2)(ข) จะได้รับบำนาญเดือนละ 7,239 บาท โดยโจทก์เสนอเรื่องราวขอรับบำนาญไปยังจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองสั่งจ่ายบำนาญให้โจทก์เดือนละ 3,095 บาท โดยจำเลยทั้งสองเห็นว่าโจทก์มีเวลาราชการสำหรับคำนวณบำนาญเพียง 14 ปี 10 เดือนเศษ และปัดให้เป็น 15 ปี เท่านั้น หาได้นำเวลาที่โจทก์รับราชการตั้งแต่วันที่ 17มกราคม 2492 ถึงวันที่ 17 พฤศจิกายน 2517 รวมเข้ากับเวลาราชการตอนหลังไม่ โจทก์เห็นว่า คำสั่งของจำเลยทั้งสองไม่ถูกต้องเพราะถือว่าโจทก์ได้บอกเลิกรับบำนาญภายใน 30 วัน นับแต่วันกลับเข้าราชการใหม่แล้ว ขอให้มีคำพิพากษาแสดงว่าโจทก์มีสิทธินับเวลาราชการเดิมและเวลาราชการครั้งใหม่ต่อเนื่องกันรวมเป็น47 ปี 7 เดือน 15 วัน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันสั่งจ่ายบำนาญเพิ่มแก่โจทก์อีกเดือนละ 4,144.50 บาท นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2532ตลอดไปจนครบถ้วนตามสิทธิของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์เข้ารับราชการตั้งแต่วันที่ 17มกราคม 2492 ต่อมาเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2517 โจทก์ลาออกจากราชการเพื่อไปสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยโจทก์มีสิทธิที่จะได้รับบำนาญ จำเลยทั้งสองจึงได้สั่งจ่ายบำนาญโดยเหตุรับราชการนานให้แก่โจทก์เดือนละ 1,023 บาท นับตั้งแต่วันที่โจทก์ลาออกเป็นต้นไป โดยให้โจทก์รับบำนาญทางจังหวัดเพชรบูรณ์ต่อมาปรากฏว่า โจทก์ไม่ได้รับการเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโจทก์จึงได้ยื่นเรื่องราวเพื่อขอกลับเข้ามารับราชการใหม่ และกรมการปกครองก็ได้มีคำสั่งให้รับโจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2518 แต่เนื่องจากที่โจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่ในครั้งนี้ได้รับเงินเดือนขั้น 1,550 บาท ซึ่งเท่ากับเงินเดือนตอนที่โจทก์ลาออกจากราชการ จึงทำให้โจทก์ต้องถูกงดรับบำนาญไประหว่างที่โจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่ อันเป็นผลตามพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 หาใช่โดยการบอกเลิกรับบำนาญของโจทก์ไม่ ทั้งโจทก์ไม่เคยยื่นหนังสือบอกเลิกรับบำนาญเพื่อขอนับอายุราชการต่อเนื่องกันถึงจำเลยทั้งสองดังนั้นเมื่อโจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่ตลอดมาจนถึงวันเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน 2532 จึงมีเวลาราชการสำหรับคำนวณบำนาญในตอนหลังที่กลับเข้ามารับราชการใหม่เป็นเวลา14 ปี 11 เดือนเศษปัดขึ้นเป็น 15 ปี โจทก์ได้รับเงินเดือนเดือนสุดท้าย 7,600 บาท จำเลยทั้งสองจึงคำนวณบำนาญตามเงินเดือนเดือนสุดท้ายของโจทก์เฉพาะเวลาราชการครั้งใหม่เป็นบำนาญเดือนละ2,072.72 บาท รวมกับบำนาญเดิมซึ่งถูกงดไว้เนื่องจากการกลับเข้ามารับราชการใหม่อีกเดือนละ 1,022 บาท รวมเป็นบำนาญทั้งสิ้นเดือนละ 3,095.72 บาท โดยได้สั่งจ่ายให้โจทก์ไปรับบำนาญทางจังหวัดนนทบุรีได้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2532 เป็นต้นไปอันเป็นการชอบด้วยกฎหมาย มาตรา35 แห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 แล้ว การที่โจทก์อ้างว่าระบุไว้ในเรื่องขอกลับเข้ามารับราชการใหม่ว่าโจทก์ขอเลิกรับบำนาญไม่เป็นความจริง อีกทั้งการระบุไว้ในเรื่องขอกลับเข้ามารับราชการใหม่ก็ไม่ทำให้เกิดผลตามกฎหมายที่จะทำให้นับเวลาราชการเดิมต่อเนื่องกับเวลาราชการครั้งใหม่ของโจทก์ได้เพราะพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 กำหนดให้การบอกเลิกรับบำนาญในขณะที่กลับเข้ามารับราชการใหม่ อันจะมีผลให้นับเวลาราชการเดิมกับเวลาราชการครั้งใหม่ต่อเนื่องกันได้นั้น ต้องทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานส่งไปยังจำเลยที่ 1 โดยผ่านกระทรวงเจ้าสังกัดภายใน 30 วัน นับแต่วันกลับเข้ารับราชการใหม่แต่โจทก์อ้างว่าได้ยื่นเรื่องราวขอกลับเข้ามารับราชการใหม่ ภายใน3 เดือน นับแต่วันลาออกคือเดือนกุมภาพันธ์ 2518 ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่กรมการปกครองจะมีคำสั่งให้รับโจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ข้อยกเว้นตามกฎหมายดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองจ่ายบำนาญเพิ่มให้แก่โจทก์นับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2532 เป็นต้นไป โดยให้นับเวลาราชการของโจทก์ในช่วงแรก ตั้งแต่วันที่ 17 มกราคม 2492 ต่อเนื่องกับเวลาราชการในช่วงหลัง ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2518 จนถึงวันที่ 30กันยายน 2532 เพื่อคำนวณบำนาญให้แก่โจทก์ตามสิทธิของโจทก์
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่าโจทก์ไม่ได้ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญต่อจำเลยทั้งสองนั้นเห็นว่า ทั้งตามคำฟ้องและในชั้นพิจารณาโจทก์อ้างว่าโจทก์ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญพร้อมกับหนังสือขอกลับเข้ามารับราชการใหม่ต่อผู้อำนวยการกองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ไม่ได้อ้างว่ายื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญต่อจำเลยทั้งสองดังที่จำเลยทั้งสองฎีกา เรื่องนี้ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญพร้อมกับหนังสือขอกลับเข้ามารับราชการใหม่ต่อผู้อำนวยการกองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพจริง เมื่อจำเลยทั้งสองไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว เช่นนี้ย่อมฟังได้ว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า เรื่องการขอกลับเข้ามารับราชการใหม่กับเรื่องการบอกเลิกรับบำนาญเป็นคนละเรื่องกัน เมื่อโจทก์ยื่นหนังสือขอกลับเข้ามารับราชการใหม่แล้ว โจทก์ต้องนำคำสั่งดังกล่าวไปประกอบการยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญต่อผู้อำนวยการกองคลังเพื่อขอนับเวลาราชการติดต่อกันภายใน 30 วัน นับแต่วันกลับเข้ารับราชการใหม่ การที่โจทก์ยื่นเรื่องดังกล่าวทั้งสองเรื่องพร้อมกันต่อผู้อำนวยการกองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพย่อมไม่ถูกต้อง และขัดต่อมาตรา 30 วรรคสี่และวรรคห้าแห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 จึงไม่มีสิทธินับเวลาราชการช่วงแรกรวมกับเวลาราชการช่วงที่กลับเข้ามารับราชการใหม่นั้น เห็นว่า แม้การขอกลับเข้ามารับราชการใหม่กับการบอกเลิกรับบำนาญจะเป็นคนละเรื่องกันแต่ก็ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายบัญญัติห้ามมิให้ยื่นเรื่องทั้งสองดังกล่าวพร้อมกันทั้งตามบทบัญญัติในมาตรา 30 วรรคสี่และวรรคห้าแห่งพระราชบัญญัติบำเหน็จบำนาญข้าราชการ พ.ศ. 2494 ก็ไม่ได้กำหนดระยะเวลาเริ่มต้นไว้ว่าจะต้องยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญตั้งแต่เมื่อใดการที่โจทก์ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญพร้อมกับการยื่นหนังสือขอกลับเข้ามารับราชการใหม่โดยไม่รอให้กรมการปกครองมีคำสั่งให้โจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่เสียก่อนก็หาขัดต่อมาตรา 30 วรรคสี่ ไม่ ส่วนการที่โจทก์ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญต่อผู้อำนวยการกองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพ มิได้ยื่นต่อผู้อำนวยการกองคลังนั้น มาตรา 30 วรรคห้า บัญญัติเพียงว่า การบอกเลิกรับบำนาญให้ทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อเป็นหลักฐานส่งไปยังจำเลยที่ 1 โดยผ่านกระทรวงเจ้าสังกัดดังที่จำเลยทั้งสองอ้าง ดังนั้น การที่โจทก์ยื่นหนังสือการบอกเลิกรับบำนาญต่อผู้อำนวยการกองอัตรากำลังและส่งเสริมสมรรถภาพภายในกรมและกระทรวงเจ้าสังกัดของโจทก์ต้องถือว่าเป็นการยื่นผ่านกระทรวงเจ้าสังกัดแล้ว โจทก์จึงได้ปฏิบัติตามมาตรา 30 วรรคห้า แล้ว จำเลยทั้งสองจึงต้องนับเวลาราชการช่วงแรกของโจทก์รวมกับเวลาราชการช่วงที่โจทก์กลับเข้ามารับราชการใหม่เพื่อคำนวณบำนาญให้แก่โจทก์ฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน”
พิพากษายืน