คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3550/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าผู้ที่จะได้สิทธิในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้นหรือมีผู้ยึดถือแทนเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลย การแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้นดังนั้นเมื่อจำเลยอ้างในคำให้การว่าจำเลยครอบครองที่ดินของตนเองและโจทก์อ้างในคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ครอบครองที่ดินของโจทก์เองคดีจึงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1375การที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่และฟ้องแย้งจำเลยขาดอายุความหรือไม่จึงไม่ชอบและศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของมีสิทธิครอบครองที่ดิน หมู่ที่ 10 ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราชจังหวัดนครศรีธรรมราช เนื้อที่ 10 ไร่ (ที่ถูก 32 ไร่เศษ) จำเลยได้บุกรุกเข้าไปตัดฟันเผาทำลายต้นไม้ในที่ดินโจทก์ทางด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตก คิดเป็นเนื้อที่รวมประมาณ 10 ไร่เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายคิดเป็นค่าเสียหายรวมเป็นเงิน19,100 บาท และจำเลยยังได้ปลูกขนำลงในที่ดินดังกล่าวของโจทก์ด้วยรายละเอียดบริเวณที่ดินที่จำเลยบุกรุกปรากฎตามเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินพิพาทตามเส้นสีแดงในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยกับบริวารเกี่ยวข้องให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกไปจากที่ดินโจทก์ และทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม กับให้ใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 69,100 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจำเลยกับบริวารจะเลิกเกี่ยวข้องกับที่ดินโจทก์ และใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์เสร็จ
จำเลยให้การและฟ้องแย้งโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถาว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของหรือผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามเส้นสีเขียวในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องรวมทั้งที่ดินพิพาทภายในเส้นสีแดงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามเส้นสีเขียวในแผนที่สังเขปท้ายฟ้องแต่ที่ดินดังกล่าวซึ่งมีเนื้อที่รวม 60 ไร่เดิมเป็นของนายแมง ทองคำบิดาจำเลยประมาณ 20 ไร่ และเป็นของจำเลยประมาณ 40 ไร่ ปรากฎตามแนวเขตที่ดินเส้นสีฟ้าและสีน้ำเงินในแผนที่สังเขปท้ายคำให้การและฟ้องแย้ง โดยบิดาจำเลยและจำเลยได้เข้าทำประโยชน์ตั้งแต่ปี 2492 ครั้นปี 2518 จำเลยได้มอบสิทธิครอบครองที่ดินส่วนหนึ่งทางด้านทิศตะวันตกของที่ดินจำเลยเนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ ให้แก่นางสาย พวงทอง เมื่อนางสายถึงแก่กรรม นายแบบ พวงทอง บุตรก็ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวต่อมาจนกระทั่งบัดนี้ ต่อมาปี 2520 บิดาจำเลยถึงแก่กรรม จำเลยจึงได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินส่วนของบิดาจำเลยสืบต่อมา โดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 10 ปีแล้ว โจทก์ไม่เคยเข้าเกี่ยวข้องหรือแสดงความเป็นเจ้าของ คดีโจทก์จึงขาดอายุความฟ้องร้องแล้ว สำหรับต้นมะพร้าว ต้นจากสาคูและเสารั้วลวดหนามในที่ดินพิพาท ซึ่งเสียหายนั้นเกิดจากอัคคีภัยในฤดูร้อน ราคาทรัพย์สินที่เสียหายตามฟ้องสูงกว่าความเป็นจริง จำเลยมิได้ละเมิดสิทธิของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยและไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย เมื่อระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม 2533 ติดต่อกัน โจทก์และบริวารได้บุกรุกเข้าไปปักเสาขึงรั้วลวดหนามในที่ดินจำเลยแปลงดังกล่าวทางด้านทิศตะวันออกและทิศใต้ขุดคูน้ำทางด้านทิศเหนือและทิศใต้ปลูกหน่อมะพร้าวและปลูกขนำให้บริวารโจทก์พักอาศัยในที่ดินจำเลยอันเป็นการทำละเมิดต่อจำเลย ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่าที่ดินพิพาทเนื้อที่ 35 ไร่ ตามเส้นสีส้มในแผนที่สังเขปท้ายคำให้การและฟ้องแย้งเป็นของจำเลย ห้ามโจทก์และบริวารเกี่ยวข้องให้โจทก์รื้อถอนเสา รั้วลวดหนาม ขนำและหน่อมะพร้าวของโจทก์ออกไปจากที่ดินจำเลย และทำที่ดินให้อยู่ในสภาพเดิม หากโจทก์ไม่ยอมปฏิบัติตามก็ให้จำเลยเป็นผู้ดำเนินการ โดยให้โจทก์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินพิพาทตามฟ้องเป็นของโจทก์จำเลยและบิดาจำเลยไม่เคยเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทมาก่อนจนกระทั่งเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2533 จำเลยจึงได้บุกรุกเข้าไปปลูกขนำและเผาทำลายทรัพย์สินตามฟ้องโจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายครอบครองทำประโยชน์อยู่ในที่ดินพิพาทโดยความสงบและโดยเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาตั้งแต่ปี 2522 ตลอดมาจนบัดนี้หาใช่เพิ่งเข้าไปเมื่อเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม 2533ดังที่จำเลยฟ้องแย้งไม่ ฟ้องแย้งจำเลยขาดอายุความขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นสั่งพนักงานเจ้าหน้าที่ทำแผนที่พิพาท โจทก์นำชี้ว่าที่ดินตามรูป ก ง ฉ ฌ เนื้อที่ 32 ไร่ 2 งาน 23 ตารางวาเป็นที่ดินโจทก์ จำเลยนำชี้ว่าที่ดินตามรูป ก ง จ ญ ซ ฌ เนื้อที่26 ไร่ 58 ตารางวา เป็นที่ดินจำเลย คู่ความแถลงรับว่าแผนที่พิพาทถูกต้องไม่มีข้อโต้แย้ง ที่ดินพิพาทคือที่ดินรูปหลายเหลี่ยมก ง จ ญ ซ ฌ เนื้อที่ 26 ไร่ 58 ตารางวา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า โจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดินตามแผนที่พิพาทดีกว่าจำเลย ให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยออกจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินพิพาท คำขออื่นตามฟ้องโจทก์ให้ยก กับให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์ ขอให้ยกฟ้องและบังคับคดีตามฟ้องแย้งโดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า โจทก์มีสิทธิในที่ดินพิพาทตามรูปหลายเหลี่ยม ก ง จ ญ ซ ฌ เนื้อที่58 ตารางวา ตามแผนที่พิพาทรังวัดวันที่ 29 ตุลาคม 2534 ดีกว่าจำเลยและให้ยกคำขอของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดรวมทั้งคำขอให้จำเลยทำที่ดินพิพาทให้อยู่ในสภาพปกติดีดังเดิมด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา ขอให้ยกฟ้องและบังคับคดีตามฟ้องแย้งโดยได้รับอนุญาตให้ฎีกาอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยประการแรกว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่และฟ้องแย้งจำเลยขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ปลูกสร้างลงในที่ดินพิพาทซึ่งโจทก์จับจองมาตั้งแต่ปี 2522 จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า เดิมที่ดินพิพาทส่วนหนึ่งเป็นของจำเลยและนายแมง ทองคำ บิดาจำเลยปี 2520 บิดาจำเลยถึงแก่กรรมจำเลยครอบครองทำประโยชน์ที่ดินของบิดาจำเลยสืบต่อมาเมื่อระหว่างเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม 2533 โจทก์และบริวารบุกรุกที่ดินจำเลย โดยปักเสาขึงรั้วลวดหนาม ขุดคูน้ำปลูกหน่อมะพร้าว และปลูกขนำขอให้ขับไล่โจทก์และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างของโจทก์ที่ปลูกสร้างลงในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของจำเลย โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ซึ่งครอบครองมาตั้งแต่ปี2522 ตลอดมานั้น ดังนี้ตามคำให้การของจำเลยและคำให้การแก้ฟ้องแย้งของโจทก์ คงมีประเด็นข้อพิพาทเพียงว่า โจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทตามคำให้การจำเลยไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินที่จำเลยปลูกขนำอยู่จากโจทก์และตามคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ของโจทก์ก็ไม่อาจมีปัญหาเรื่องแย่งการครอบครองที่ดินที่โจทก์ปลูกขนำอยู่จากจำเลยเช่นเดียวกันจึงไม่มีการอ้างสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรคสอง เพราะการแย่งการครอบครองจะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นเท่านั้น ดังนั้นเมื่อจำเลยอ้างในคำให้การว่า จำเลยครอบครองที่ดินของจำเลยเอง และโจทก์อ้างในคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่าโจทก์ครอบครองที่ดินของโจทก์เองการที่ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ และฟ้องแย้งจำเลยขาดอายุความหรือไม่จึงไม่ชอบ และศาลก็ไม่อาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เพราะเป็นการวินิจฉัยขัดแย้งกับประเด็นที่จำเลยต่อสู้ไว้ในคำให้การ และโจทก์ต่อสู้ไว้ในคำให้การแก้ฟ้องแย้ง ฉะนั้นที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่าจำเลยมิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ภายใน1 ปี นับแต่ถูกโจทก์แย่งการครอบครองที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรคสอง จึงไม่ชอบคดีมีปัญหาตามฎีกาของจำเลยประการสุดท้ายว่าโจทก์หรือจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามรูปหลายเหลี่ยม ก ง จ ญ ซ ฌซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า เนื้อที่ 26 ไร่ 58 ตารางวา ในแผนที่พิพาทดีกว่ากัน เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าผู้ที่จะได้สิทธิในที่ดินประเภทนี้ต้องเป็นผู้ยึดถือที่ดินนั้นหรือมีผู้ยึดถือแทนเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เป็นผู้ยึดถือครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์จึงมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทดีกว่าจำเลยการที่จำเลยเข้าไปปลูกขนำในที่ดินพิพาทเมื่อปี 2533 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องบังคับจำเลยให้รื้อถอนขนำออกไปจากที่ดินพิพาทได้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share