แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยออกเช็คพิพาทชำระราคาสินค้าที่ตกลงซื้อจากโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ต่อมาฝ่ายจำเลยติดต่อขายสินค้านั้นต่อให้กับ พ. และโจทก์ยอมรับเช็คจาก พ. ไว้เป็นการชำระราคาสินค้าที่ส่งขายให้แก่จำเลยไว้เดิม เช่นนี้แสดงว่าโจทก์ยอมรับเอา พ. เข้าเป็นลูกหนี้แทนที่จำเลยลูกหนี้เดิมแล้ว ย่อมเป็นการแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์อีก เพราะไม่มีลูกหนี้ที่จะเรียกร้องกันได้ต่อไปแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาปทุมวัน ลงวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๗ สั่งจ่ายเงินจำนวน ๒๙,๐๐๐ บาท จำเลยเป็นผู้ลงชื่อสั่งจ่ายเมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์ได้นำเข้าบัญชีเงินฝากของโจทก์ที่ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารศรีนคร จำกัด สาขาปทุมวัน ปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นเหตุให้โจทก์ไม่ได้รับเงินตามเช็ค จำเลยต้องรับผิดชดใช้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๗ ถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๘ เดือนเศษ เป็นเงิน ๑,๔๕๐ บาท จึงขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค ๒๙,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ย ๑,๔๕๐ บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในเงิน ๒๙,๐๐๐ นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า เกี่ยวกับคดีนี้เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๕๑๗ โจทก์ส่งตัวแทนมาติดต่อกับจำเลยเสนอขายวัตถุเคมี ๒ ชนิด เพื่อใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม คือ ติตาเนียนกับอีกชนิดหนึ่งชื่อทางภาษาจีนว่า “จุ้ยหุ้ง” แต่เมื่อส่งมอบตามที่ตกลงซื้อขายกัน โจทก์ส่งมอบเพียงติตาเนียนชนิดเดียว อีกชนิดหนึ่งขอส่งในภายหลัง จำเลยจึงได้จ่ายเช็คพิพาทลงวันที่ล่วงหน้าให้ไว้เป็นประกัน โจทก์จะนำไปรับเงินได้ต่อเมื่อส่งวัตถุเคมีอีกชนิดหนึ่งแก่จำเลยก่อนถึงวันกำหนดสั่งจ่ายในเช็ค แต่โจทก์เพิกเฉยไม่ส่งให้ตามข้อตกลง จำเลยจึงบอกเลิกการซื้อขายพร้อมกับส่งติตาเนียนคืนโจทก์และขอเช็คพิพาทคืน โจทก์ยังไม่ยอมคืนให้ ต่อมาโจทก์ขายติตาเนียนต่อให้นายไพโรจน์ จิรไกรศิริ นายไพโรจน์ได้ออกเช็คให้โจทก์ใหม่ จำนวนเงิน ๓๔,๐๗๕ บาท โจทก์รับเช็คของนายไพโรจน์แล้วยังคงยึดเช็คของจำเลยไว้ เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์กับจำเลยระงับไปแล้ว ไม่มีมูลหนี้ต่อกัน โจทก์จึงไม่ใช่ผู้ทรงชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีสิทธินำเช็คของจำเลยไปขึ้นเงินกับธนาคาร โจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย ไม่มีสิทธิจะเรียกร้องดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๒๙,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๑๗ จนถึงวันที่ชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ข้อเท็จจริงยุติว่า จำเลยออกเช็คพิพาทลงวันที่ล่วงหน้าชำระราคาติตาเนียนจำนวน ๑ ตันที่ตกลงซื้อจากโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ต่อมาฝ่ายจำเลยติดต่อขายติตาเนียนต่อให้นายไพโรจน์ จิรไกรศิริ จำเลยได้พานายไพโรจน์ไปตกลงกับโจทก์ โจทก์ยอมตกลงรับเช็คที่นายไพโรจน์สั่งจ่ายเองโดยนายไพโรจน์จะต้องจ่ายเป็นค่าทนายความร้อยละ ๑๐ ค่าดอกเบี้ยร้อยละ ๕ ของราคาติตาเนียน เป็นเงิน ๒,๙๐๐ บาท และ ๑,๔๕๐ บาท กับค่าใช้จ่ายหากต้องฟ้องบังคับตามเช็คอีก ๗๒๕ บาท รวมไว้ในเช็คค่าติตาเนียนด้วย รวมเป็นเงิน ๓๔,๐๗๕ บาท นายไพโรจน์จึงออกเช็คธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด เลขที่ ข.๐๐๕๘๕๓๕ สั่งจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่โจทก์ไป
วินิจฉัยว่าปรากฏว่าโจทก์ได้รับเช็คธนาคารไทยพาณิชย์เลขที่ ข. ๐๐๕๘๕๓๕ จำนวนเงิน ๓๔,๐๗๕ บาท จากนายไพโรจน์ จิรไกรศิริ (ตามที่โจทก์อ้างส่งศาล) ไว้เป็นการชำระราคาติตาเนียนที่ส่งขายให้แก่จำเลยไว้เดิมโดยบวกค่าทนาย ดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายหากต้องฟ้องร้องบังคับคดีตามเอกสารหมาย ล.๑ ล.๒ รวมเข้าไว้ด้วย แสดงชัดอยู่ว่าโจทก์ยอมรับเอานายไพโรจน์เข้าเป็นลูกหนี้แทนที่จำเลยลูกหนี้เดิมแล้วตามข้อนำสืบของจำเลย จึงเป็นการแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๕๐ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์อีก เพราะไม่มีมูลหนี้ที่จะเรียกร้องได้ต่อไปแล้ว พิพากษายืน