คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2505

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้เอาประกันชีวิตเคยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคมะเร็งในเม็ดโลหิตขาว ซึ่งขณะนี้ไม่มีทางรักษาหายและจะตายอย่างช้าใน 5 ปี แต่ปกปิดความจริงว่าไม่เคยเจ็บป่วย ไม่เคยรักษาตัวในโรงพยาบาลใด ทำให้กรมธรรม์ประกันชีวิตเป็นโมฆียะ เมื่อผู้รับประกันชีวิตบอกล้างใน 1 เดือนแล้ว ย่อมตกเป็นโมฆะ ผู้รับประโยชน์จะฟ้องเรียกเงินประกันชีวิตไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินประกันชีวิตของสามีโจทก์ ๓๐,๐๐๐ บาท กับดอกเบี้ย โดยโจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันชีวิต
จำเลยให้การว่า สามีโจทก์ทำกลฉ้อฉล โดยรู้อยู่แล้วว่าตนป่วยเป็นโรคมะเร็งในเม็ดโลหิตขาว ซึ่งไม่มีทางรักษาหาย กลับปิดบังแจ้งเท็จว่ามีสุขภาพปกติ ไม่เคยรักษาตัวในโรงพยาบาลใด เมื่อโจทก์แจ้งการตาย จำเลยสืบสวนได้ความจริงดังกล่าวและบอกล้างแล้ว ใน ๑ เดือน โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องและคดีขาดอายุความ ๒ ปี
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามแบบฟอร์มของบริษัทจำเลยที่นายแพทย์ของจำเลยได้ตรวจร่างกายและสอบถามสามีโจทก์เกี่ยวกับโรคต่าง ๆ และการเจ็บป่วยของสามีโจทก์นั้นผิดความจริงหลายข้อ โดยเฉพาะข้อเคยรักษาตัวในโรงพยาบาลหรือไม่ ถ้าเคย เนื่องจากโรคอะไร เคยหยุดงานประจำเนื่องจากทำงานหรือเจ็บป่วยเกิน ๑ เดือนหรือไม่ และเคยเจ็บป่วยหรือไม่ สามีโจทก์ตอบว่าไม่ทุกข้อ ซึ่งความจริงสามีโจทก์เคยเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลศิริราช ๒ เดือน เคยด้วยโรคมะเร็งในเม็ดโลหิตขาว ซึ่งขณะนี้ไม่มีทางรักษาหาย อาจตายใน ๗ วัน ถึง ๖ เดือน หรืออย่างช้า ๕ ปี เมื่ออกจากโรงพยาบาลอาการทุเลาลงได้ ๒ สัปดาห์ ก็ประกันชีวิตกับจำเลย สามีโจทก์จะทราบว่าตนเองเป็นโรคนี้หรือไม่ไม่สำคัญ เพราะการปกปิดความจริงดังกล่าวทำให้สัญญาเป็นโมฆียะ เมื่อจำเลยบอกล้างแล้ว เป็นโมฆะดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
พิพากษายืน

Share