แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำเตือนของพนักงานตรวจแรงงาน. เป็นเพียงความเห็นของพนักงานตรวจแรงงานเท่านั้น หามีผลบังคับไม่ หากนายจ้างเห็นว่าคำเตือนไม่ถูกต้องนายจ้างจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าการที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามคำเตือนของพนักงานตรวจแรงงานเป็นความผิดและมีโทษ
นายจ้างไม่มีอำนาจฟ้องพนักงานตรวจแรงงานให้รับผิดฐานละเมิดต่อศาลแรงงานตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522 มาตรา 8 (5) ได้ เพราะมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด จำเลยที่ ๑ เป็นพนักงานตรวจแรงงาน สำนักงานแรงงานจังหวัดกาญจนบุรี ได้ออกคำเตือนของพนักงานตรวจแรงงานให้โจทก์จ่ายค่าชดเชยจำนวน ๘๗,๕๗๐ บาท และค่าจ้างค้างจ่ายรวม ๕,๙๘๔ บาท แก่จำเลยที่ ๒ ถึงจำเลยที่ ๕ ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ ให้โจทก์ปฏิบัติตามคำเตือนภายใน ๑๐ วันนับแต่วันที่ได้รับคำเตือน โจทก์ได้ขอผ่อนในการชำระค่าชดเชย แต่จำเลยที่ ๑ สั่งยกคำขอ โจทก์จำต้องปฏิบัติตามคำเตือน โดยได้นำเงินค่าชดเชยและค่าจ้างค้างจ่ายไปวางต่อจำเลยที่ ๑ และโจทก์ได้อุทธรณ์ต่ออธิบดีกรมแรงงานแล้ว การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ต้องนำเงินไปวางต่อพนักงานตรวจแรงงานทำให้โจทก์เสียหายเป็นเงินเท่ากับดอกเบี้ยร้อยละ ๑๘ ต่อปีของเงินจำนวน ๘๗,๕๗๐ บาท นับแต่วันทำละเมิดจนถึงวันฟ้องเป็นเวลา ๒๑ วัน เป็นเงิน ๙๐๖ บาท รวมเป็น ๘๘,๔๗๖ บาท ค่ารถไปติดต่อพนักงานตรวจแรงงาน ๒,๐๐๐ บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน ๙๐,๔๗๖ บาท ขอให้พิพากษาว่า โจทก์ไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องจ่ายค่าชดเชยแก่จำเลยที่ ๒ ถึงจำเลยที่ ๕ คำเตือนของจำเลยที่ ๑ ไม่ชอบด้วยกฎหมายให้จำเลยที่ ๑ คืนเงินจำนวน ๘๗,๕๗๐ บาท กับดอกเบี้ย ๙๐๖ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๘๗,๕๗๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๒,๐๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า คำเตือนของพนักงานตรวจแรงงานไม่ใช่คำวินิจฉัยชี้ขาด ไม่เป็นการโต้แย้งสิทธิตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๕ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนคำเตือนส่วนเรื่องละเมิดระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นนายจ้างกับพนักงานตรวจแรงงานนั้นมิใช่เรื่องคดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างกับลูกจ้างสืบเนื่องมาจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงานตามมาตรา ๘(๕) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มีคำสั่งไม่รับฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า พนักงานตรวจแรงงานมิได้อยู่ในฐานะผู้มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง แม้ว่าก่อนที่พนักงานตรวจแรงงานจะออกคำเตือน ได้สอบสวนข้อเท็จจริงและวินิจฉัยแล้วเห็นว่านายจ้างฝ่าฝืนประกาศกระทรวงมหาดไทย พนักงานตรวจแรงงานอาจให้คำเตือนเพื่อให้นายจ้างปฏิบัติให้ถูกต้องตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานลงวันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๑๕ ข้อ ๗๗ แต่ก็เป็นเพียงความเห็นของพนักงานตรวจแรงงานเท่านั้น หามีผลบังคับไม่ หากนายจ้างเห็นว่าคำเตือนนั้นไม่ถูกต้อง นายจ้างจะไม่ปฏิบัติตามก็ได้ ไม่มีบทกฎหมายใดบัญญัติว่าการที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามคำเตือนของพนักงานตรวจแรงงานเป็นความผิดและมีโทษ หากการกระทำของนายจ้างจะเป็นความผิดอาญาก็เป็นการกระทำความผิดมาตั้งแต่แรกที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกระทรวงมหาดไทย ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ข้อ ๘ มิใช่นายจ้างเพิ่งจะมีความผิดเมื่อพนักงานตรวจแรงงานให้คำเตือนหรือเมื่อนายจ้างไม่ปฏิบัติตามคำเตือนนั้นการที่นายจ้างไม่ปฏิบัติตามคำเตือนของพนักงานตรวจแรงงานมิได้เป็นความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๐๓ ข้อ ๘ คำเตือนของพนักงานตรวจแรงงานไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ไม่ทำให้เกิดข้อโต้แย้งระหว่างนายจ้างกับพนักงานตรวจแรงงานโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องตามแบบอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ ๑๗๐๑/๒๕๒๓ ระหว่างบริษัทเทพนิรมิตขนส่งจำกัด โจทก์ นางสาวสาริกา วงษ์ไกร กับพวก จำเลย
ที่โจทก์อุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๑ กระทำละเมิดต่อโจทก์นั้น เห็นว่าโจทก์เป็นนายจ้าง จำเลยที่ ๑ เป็นพนักงานตรวจแรงงาน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๑ ต่อศาลแรงงาน เพราะมิใช่คดีอันเกิดแต่มูลละเมิดระหว่างนายจ้างและลูกจ้างสืบเนื่องจากข้อพิพาทแรงงานหรือเกี่ยวกับการทำงานตามสัญญาจ้างแรงงาน ตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๘(๕) ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งไม่รับฟ้องโจทก์ชอบแล้ว
พิพากษายืน