คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3532/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่ผู้ร้องวางเงื่อนไขให้ลูกจ้างทุกคนต้องลงชื่อในใบรายงานตัวก่อนเข้าทำงานเป็นการกระทำภายหลังที่ลูกจ้างของผู้ร้องกลุ่มหนึ่งร่วมกันทำลายทรัพย์สินของผู้ร้องเสียหายเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ทั้งที่ข้อเรียกร้องก็ได้เจรจาตกลงยุติไปแล้ว แม้ลูกจ้างส่วนใหญ่รวมทั้งผู้ร้องคัดค้านจะไม่อยู่ในข่ายต้องสงสัย แต่ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างก็มีสิทธิที่จะหามาตรการป้องกันทรัพย์ของตนเองได้ และย่อมมีสิทธิที่จะหาวิธีการหรือวางมาตรการให้ลูกจ้างทำงานด้วยความขยันขันแข็งและอยู่ในระเบียบวินัยโดยเคร่งครัดในขอบข่ายของกฎหมายอันเป็นอำนาจบริหารทั่วไปของนายจ้าง เมื่อใบรายงานตัวไม่มีข้อความตอนใดเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง เป็นการเพิ่มภาระแก่ลูกจ้างหรือเป็นการลงโทษลูกจ้างเป็นเพียงวิธีการที่ผู้ร้องนำมาใช้เพื่อเตือนสติลูกจ้างและเน้นให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกฎระเบียบวินัยอันเป็นหน้าที่ของลูกจ้างอยู่แล้ว ไม่เป็นการขัดต่อกฎหมายหรือขัดขวางลูกจ้างรวมทั้งผู้คัดค้านทั้งสองที่จะเข้าทำงานได้ตามปกติไม่ผู้ร้องจึงมีอำนาจทำได้ เมื่อผู้คัดค้านทั้งสองไม่ยอมลงชื่อในใบรายงานตัวและไม่ยอมเข้าทำงานในช่วงเวลาดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันจะอ้างได้ตามกฎหมายเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรผู้ร้องจึงเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างได้

ย่อยาว

ผู้ร้องทั้งสองสำนวนยื่นคำร้อง ขออนุญาตเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้าง
ผู้คัดค้านทั้งสองยื่นคำคัดค้าน ขอให้ยกคำร้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ว จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ผู้ร้องเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งสอง
ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ปัญหาขึ้นมาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายตามที่ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์ว่าการที่ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ยอมเข้าทำงานในระหว่างวันที่ 10ตุลาคม 2534 ถึงวันที่ 20 ตุลาคม 2534 เพราะเหตุที่ผู้คัดค้านทั้งสองไม่ยอมลงชื่อในใบรายงานตัวตามเอกสารหมาย ร.ค.1 และ ร.ค.3ที่ผู้ร้องทำขึ้นถือเป็นการละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควรหรือไม่ ปัญหาดังกล่าวสืบเนื่องมาจากศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า ภายหลังที่สหภาพแรงงานโอเรียนประเทศไทยยื่นข้อเรียกร้องต่อผู้ร้องเพื่อขอแก้ไขเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างและมีการทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างฉบับลงวันที่ 3 ตุลาคม 2534 โดยกำหนดให้ลูกจ้างกลับเข้าทำงานในวันที่ 5-7 ตุลาคม 2534 แล้ว ครั้นวันที่ 7 ตุลาคม2534 ลูกจ้างกลุ่มหนึ่งได้ร่วมกันทุบทำลายทรัพย์สินภายในโรงงานของผู้ร้องอันได้แก่เครื่องจักร เครื่องมือจำพวกเครื่องปั๊มสูญญากาศเอชวายเคเบิล เครื่องมืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จอภาพคอมพิวเตอร์เครื่องทำความร้อน และเครื่องจ่ายกระแสไฟฟ้า เป็นต้น ได้รับความเสียหายคิดเป็นเงินประมาณ 30 ล้านบาท ผู้ร้อง เจ้าพนักงานตำรวจและแรงงานจังหวัดจึงได้ประชุมกันมีมติให้ออกใบรายงานตัวตามเอกสารหมาย ร.ค.1 เพื่อให้ลูกจ้างของผู้ร้องลงชื่อก่อนเข้าทำงาน ปรากฏว่าในวันที่ 10 ตุลาคม 2534 นั้น ลูกจ้างรวมทั้งผู้คัดค้านทั้งสองประมาณ 1,400 คน ไม่ยอมลงชื่อในใบรายงานตัวดังกล่าวเพื่อกลับเข้าทำงาน และแม้จะมีการเจรจาแก้ไขปรับปรุงข้อความในใบรายงานตัวขึ้นใหม่เป็นเอกสารหมาย ร.ค.3 ก็ตาม ลูกจ้างรวมทั้งผู้คัดค้านทั้งสองประมาณ 1,200 คน ก็ไม่ยอมลงชื่อและกลับเข้าทำงาน ต่อมาวันที่ 15 ตุลาคม 2534 ผู้ร้องมีคำสั่งเลิกจ้างลูกจ้างประมาณ 1,200 คน ยกเว้นผู้คัดค้านทั้งสองซึ่งเป็นกรรมการลูกจ้างมีการไกล่เกลี่ยให้ผู้ร้องรับลูกจ้างทั้งหมดกลับเข้าทำงานเริ่มแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2534 เป็นต้นไป โดยแก้ไขปรับปรุงข้อความในใบรายงานตัวขึ้นใหม่เป็นเอกสารหมาย ร.ค.2 ด้วย ดังนี้ที่ผู้คัดค้านทั้งสองอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ความว่า ภายหลังเมื่อมีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างแล้ว การที่ผู้ร้องใช้แผงเหล็กปิดกั้นประตูใหญ่ทางเข้าโรงงานและเปิดประตูเล็กไว้ ให้ลูกจ้างรวมทั้งผู้คัดค้านทั้งสองเข้าทำงานทางประตูเล็กโดยต้องลงชื่อในใบรายงานตัวตามเอกสารหมาย ร.ค.1 หรือ ร.ค.3 เสียก่อนนั้น ถือเป็นการตราโทษลูกจ้างและผู้คัดค้านทั้งสอง ทั้งยังเป็นการใช้มาตรการขัดขวางลูกจ้างและผู้คัดค้านทั้งสองในอันที่จะเข้าทำงานได้ตามปกติโดยมิชอบด้วยกฎหมายและอุทธรณ์ในข้อ 2.2 ว่า ผู้ร้องไม่มีอำนาจทำใบรายงานตัวตามเอกสารหมาย ร.ค.1 ถึง ร.ค.3 ให้ลูกจ้างและผู้คัดค้านทั้งสองลงชื่อ การกระทำดังกล่าวขัดต่อกฎหมายและเป็นการใช้อำนาจโดยมิชอบ ผู้คัดค้านทั้งสองจึงสามารถใช้สิทธิตามกฎหมายที่จะปฏิเสธการลงชื่อในใบรายงานตัวดังกล่าวได้นั้นเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องซึ่งจะต้องวินิจฉัยไปพร้อมกัน พิเคราะห์แล้วใบรายงานตัวตามเอกสารหมาย ร.ค.1 มีข้อความระบุว่า “ข้าพเจ้าขอรายงานตัวเพื่อเข้าทำงานกับบริษัทต่อไปโดยพร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่การงานด้วยความขยันขันแข็ง โดยจะตั้งใจทำงานและยินดีที่จะปฏิบัติตามระเบียบวินัยของบริษัทโดยเคร่งครัด อีกทั้งให้สัญญาว่าจะไม่สร้างปัญหาในการทำงานให้แก่บริษัทไม่กลั่นแกล้ง ไม่ข่มขู่เพื่อนร่วมงานหรือไม่กระทำการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เพื่อนพนักงานไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่กระทำการใด ๆให้บริษัทได้รับความเสื่อมเสียหรือเสียหาย” และตอนท้ายมีข้อความว่า”หากข้าพเจ้าฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น ให้ถือว่าข้าพเจ้าจงใจทำให้บริษัทได้รับความเสียหาย ข้าพเจ้ายินดีให้ทางบริษัทลงโทษสถานหนักได้” สำหรับใบรายงานตัวตามเอกสารหมาย ร.ค.3คงปรับปรุงข้อความเฉพาะตอนท้ายเป็นว่า “หากข้าพเจ้าฝ่าฝืนเงื่อนไขดังกล่าวข้างต้น ให้บริษัทลงโทษตามกฎและระเบียบของบริษัทตามขั้นตอนของกฎหมาย” ส่วนใบรายงานตัวตามเอกสารหมาย ร.ค.2คงมีใจความทำนองเดียวกับเอกสารหมาย ร.ค.3 แต่มีข้อความกะทัดรัดขึ้น เห็นว่าที่ผู้ร้องวางเงื่อนไขให้ลูกจ้างทุกคนต้องลงชื่อในใบรายงานตัวก่อนเข้าทำงานดังกล่าว เป็นการกระทำภายหลังที่ลูกจ้างของผู้ร้องกลุ่มหนึ่งร่วมกันทุบทำลายทรัพย์สินของผู้ร้องเสียหายเป็นจำนวนมากเกินกว่าที่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้นได้ ทั้งที่ข้อเรียกร้องก็ได้เจรจาตกลงกันจนเป็นที่ยุติไปแล้ว แม้การกระทำดังกล่าวลูกจ้างส่วนใหญ่รวมทั้งผู้คัดค้านทั้งสองจะไม่อยู่ในข่ายที่ต้องสงสัยว่าร่วมกระทำผิดก็ตาม แต่ผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างก็มีสิทธิที่จะหามาตรการป้องกันทรัพย์ของตนเองได้ และในส่วนของกิจการที่ผู้ร้องกำลังดำเนินอยู่ซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับการปฏิบัติงานของลูกจ้างนั้น ผลงานอันมีประสิทธิภาพจึงเป็นที่ปรารถนาของผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้างเพื่อแลกเปลี่ยนกับการที่จะต้องจ่ายค่าจ้างเป็นการตอบแทนดังนี้แล้วผู้ร้องย่อมมีสิทธิที่จะหาวิธีการหรือวางมาตรการให้ลูกจ้างทำงานด้วยความขยันขันแข็งและอยู่ในระเบียบวินัยโดยเคร่งครัด ในขอบข่ายของกฎหมายอันเป็นอำนาจบริหารทั่วไปของผู้ร้องซึ่งเป็นนายจ้าง เมื่อตามใบรายงานตัวดังกล่าวไม่มีข้อความตอนใดเป็นการเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเป็นการเพิ่มภาระแก่ลูกจ้าง หรือเป็นการลงโทษลูกจ้าง เพียงแต่ว่าหากลูกจ้างคนใดฝ่าฝืนกฎและระเบียบข้อใดของบริษัทผู้ร้องก็จะได้รับการพิจารณาโทษตามความหนักเบาของการกระทำนั้น หาใช่เป็นการตราโทษลูกจ้างไม่คงเป็นเพียงวิธีการที่ผู้ร้องนำมาใช้เพื่อเตือนสติลูกจ้างและเน้นให้ประพฤติปฏิบัติอยู่ในกฎและระเบียบวินัยอันเป็นหน้าที่ของลูกจ้างต้องพึงปฏิบัติอยู่แล้วเท่านั้น หาเป็นการขัดต่อกฎหมายหรือเป็นการขัดขวางลูกจ้างรวมทั้งผู้คัดค้านทั้งสองที่จะเข้าทำงานได้ตามปกติไม่ ดังนั้นผู้ร้องจึงมีอำนาจที่จะออกใบรายงานตัวดังกล่าวได้เมื่อผู้คัดค้านทั้งสองไม่ยอมลงชื่อในใบรายงานตัวและไม่ยอมเข้าทำงานในช่วงเวลาดังกล่าวโดยไม่มีเหตุอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย จึงถือว่าผู้คัดค้านทั้งสองละทิ้งหน้าที่เป็นเวลาสามวันทำงานติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ผู้ร้องจึงเลิกจ้างผู้คัดค้านทั้งสองได้ คำสั่งของศาลแรงงานกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ของผู้คัดค้านทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share