คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3532/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในเขตทางน้ำชลประทานโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากเขตชลประทานภายใน 1 เดือน คดีถึงที่สุด จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องรื้อถอนโรงเรือนซึ่งจำเลยรับว่าได้ปลูกสร้างรุกล้ำโดยผิดกฎหมายออกไป จำเลยจะอ้างสิทธิของบุคคลภายนอกมาเป็นข้อแก้ตัวในการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาหาได้ไม่ เพราะเท่ากับเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยมิได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเขตทางน้ำชลประทานอันเป็นการโต้เถียงขัดกับข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้ว แม้จะเป็นในชั้นบังคับคดีก็ไม่อาจกระทำได้ ข้ออ้างของจำเลยมิใช่ข้อแก้ตัวอันดี

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในเขตทางน้ำชลประทานโดยไม่รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ. 2485 มาตรา 23, 37, ฯลฯให้จำเลยรื้อโรงเรือนออกไปจากเขตชลประทานภายใน 1 เดือน คดีถึงที่สุดแล้ว

ต่อมาโจทก์ยื่นคำร้องว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โดยยังมิได้รื้อถอนโรงเรือนที่รุกล้ำออกไป ขอให้ออกหมายจับจำเลยมากักขังจนกว่าจะยอมปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้หมายเรียกจำเลยมาสอบถาม

จำเลยมาศาลขอเวลารื้อถอนขนย้ายบ้านภายใน 6 เดือนแล้ว ต่อมากลับอ้างว่า ที่ดินตรงที่จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนเป็นของนายปุ๋ยจำเลยในคดีอาญาของศาลชั้นต้นอีกคดีหนึ่ง จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจากนายปุ๋ย และศาลฎีกาพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวโดยยังมิได้ชี้ขาดว่าที่ดินนั้นเป็นของนายปุ๋ยหรือเป็นของกรมชลประทาน จึงยังฟังไม่ได้แน่ว่าที่ดินนี้เป็นของผู้ใด รูปคดีไม่มีประโยชน์ต่อโจทก์ที่จะบังคับคดีต่อไป ขอให้ยกคำขอของโจทก์ หรือทำการไต่สวนตามที่เห็นสมควร หรือสั่งให้โจทก์ไปดำเนินคดีเกี่ยวกับกรรมสิทธิ์ที่ดินของกรมชลประทานกับนายปุ๋ยเสียก่อน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 298 วรรคสี่ และวรรคห้า

ศาลชั้นต้นสั่งว่า คดีนี้จำเลยให้การรับสารภาพและศาลพิพากษาถึงที่สุดแล้ว จำเลยอ้างสิทธิของบุคคลภายนอกมาใช้ยันเพื่อให้งดการบังคับคดีไม่ได้ให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากที่พิพาท หากไม่ปฏิบัติตามจะออกหมายจับ

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้อง จำเลยให้การรับสารภาพข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า จำเลยปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในเขตทางน้ำชลประทานโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้องลงโทษปรับจำเลย และให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากเขตชลประทานภายใน 1 เดือน จำเลยมิได้อุทธรณ์ คดีเป็นอันถึงที่สุด ผลแห่งคำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันจำเลยผู้เป็นคู่ความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15จำเลยมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาคือรื้อถอนโรงเรือนออกไปจากเขตชลประทานซึ่งจำเลยรับว่าได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำโดยผิดกฎหมาย จำเลยจะอ้างสิทธิของบุคคลภายนอกหรือเหตุอื่นใดอันมิใช่อำนาจพิเศษมาเป็นข้อแก้ตัวในการไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาส่วนนี้หาได้ไม่ การที่จำเลยอ้างว่าที่ดินที่จำเลยปลูกสร้างอาคารหรือโรงเรือนเป็นของนายปุ๋ย จำเลยเช่าที่ดินดังกล่าวจากนายปุ๋ย โจทก์ไม่อยู่ในฐานะที่จะขอบังคับให้จำเลยรื้อถอนออกไป เท่ากับเป็นการโต้แย้งว่าจำเลยมิได้ปลูกสร้างโรงเรือนรุกล้ำเขตทางน้ำชลประทานของกรมชลประทาน อันเป็นการโต้เถียงขัดกับข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วดังกล่าวข้างต้น ซึ่งแม้จะเป็นในชั้นบังคับคดีก็ไม่อาจกระทำเช่นว่านั้นได้ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148(1) เมื่อจำเลยไม่มีสิทธิโต้แย้งฝ่าฝืนข้อเท็จจริงที่มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่ได้ฟ้องแล้วเช่นนี้ ข้ออ้างของจำเลยจึงมิใช่ข้อแก้ตัวอันดี

พิพากษายืน

Share