คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3531/2549

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คู่ความท้ากันให้ศาลแรงงานวินิจฉัยเฉพาะข้อบังคับของการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 3.5 ว่าจำเลยมีอำนาจลงโทษโจทก์ตามข้อบังคับดังกล่าวหรือไม่ และศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีสิทธิไล่โจทก์ออกจากงานและต้องแพ้คดีโจทก์ไปตามคำท้า ดังนั้นการที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมีสิทธิไล่โจทก์ออกจากงานได้แม้โจทก์จะพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไปแล้วก็ดี จำเลยสั่งให้โจทก์ออกจากงานด้วยเกษียณอายุเพราะสำคัญผิดก็ดี ล้วนเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือคำท้าทั้งสิ้น จึงเป็นอุทธรณ์ในเรื่องนอกประเด็น ถือว่าเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลาง ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ.มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31
จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุ มิได้สั่งให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนเพื่อรอผลการสอบสวนพิจารณาตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 3.5 ข้อ 6 ทวิ การที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุถือเป็นการเลิกจ้าง สัญญาจ้างแรงงานจึงสิ้นสุดทันที และการแสดงเจตนาเลิกสัญญานี้ไม่อาจถอนได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 386 วรรคสอง ประกอบกับข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 3.5 ก็มิได้ให้อำนาจจำเลยที่จะสั่งลงโทษไล่ออกแก่ผู้ที่พ้นจากการเป็นเจ้าพนักงานไปแล้วได้ จำเลยจึงไม่อาจสั่งลงโทษโจทก์ซึ่งพ้นจากการเป็นเจ้าพนักงานของจำเลยไปแล้วให้ออกจากงานได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่า มติที่ประชุมผู้อำนวยการฝ่ายและหัวหน้าสำนักงาน (ด้านการปกครอง) ครั้งที่ 3/2544 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2544 ตกเป็นโมฆะ และให้เพิกถอนมติของที่ประชุมดังกล่าว ให้จำเลยคืนสิทธิการรับเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) แก่โจทก์ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2544 เป็นต้นไปให้จำเลยชำระเงินจำนวน 406,512.40 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 385,958.40 บาท นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะคืนสิทธิและชำระเงินที่ค้างทั้งหมดคืนโจทก์จนครบถ้วน และให้จำเลยชำระเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) เดือนละ 24,122.40 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2545 ตามลำดับไปทุกเดือนที่ผิดนัดจนกว่าจำเลยจะคืนสิทธิและจ่ายเงินที่ค้างแก่โจทก์จนครบ กับให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 500,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้บังคับโจทก์คืนเงินค่าชดเชย 6 เดือน ของเงินเดือนสุดท้าย เดือนละ 29,750 บาท คิดเป็นเงิน 178,500 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คิดเป็นดอกเบี้ย 53,550 บาท เงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) เดือนละ 24,122.40 บาท ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2540 ถึงเดือนมิถุนายน 2544 รวม 44 เดือน เป็นเงิน 1,061,385.60 บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คิดเป็นดอกเบี้ย 217,101.60 บาท รวมเป็นต้นเงิน 1,239,885.60 บาท กับดอกเบี้ย 270,651.60 บาท รวมเป็นเงิน 1,510,537.20 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 1,239,885.60 บาท นับแต่วันฟ้องแย้งเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาว่า มติที่ประชุมผู้อำนวยการฝ่ายและหัวหน้าสำนักงาน (ปกครอง) ครั้งที่ 3/2544 เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2544 เป็นโมฆะและเพิกถอนมติดังกล่าว ให้จำเลยจ่ายเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) แก่โจทก์จำนวน 406,512.40 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 385,958.40 บาท นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2545 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยจ่ายเงินสงเคราะห์รายเดือน (บำนาญ) เดือนละ 24,122.40 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่เดือนพฤศจิกายน 2545 ตามลำดับไปทุกเดือนจนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจำนวน 500,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยมีว่า จำเลยไม่มีสิทธิไล่โจทก์ออกจากงานดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยมาหรือไม่ เห็นว่า เมื่อโจทก์และจำเลยท้ากันให้ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยเฉพาะข้อบังคับของการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 3.5 ว่าจำเลยมีอำนาจลงโทษโจทก์ตามข้อบังคับฉบับดังกล่าวหรือไม่ และศาลแรงงานกลางได้วินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีสิทธิไล่โจทก์ออกจากงานตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทยและต้องแพ้คดีโจทก์ไปตามคำท้า ดังนั้นการที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมีสิทธิไล่โจทก์ออกจากงานได้แม้โจทก์จะพ้นจากการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐไปแล้ว เพราะโจทก์ต้องอยู่ภายใต้บังคับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ พ.ศ.2518 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวงราชการ (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2530 ที่ใช้บังคับขณะเกิดเหตุคดีนี้ก็ดี ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยสั่งให้โจทก์ออกจากงานด้วยเหตุเกษียณอายุเป็นเพราะจำเลยไม่ทราบว่า โจทก์ถูกคณะกรรมการ ป.ป.ป. สอบสวน จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์เพราะสำคัญผิดก็ดี ล้วนเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือคำท้าทั้งสิ้น จึงเป็นอุทธรณ์ในเรื่องนอกประเด็น ถือว่าเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลแรงงานกลางต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 31 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คดีมีปัญหาที่ศาลฎีกาต้องวินิจฉัยตามคำท้าของโจทก์และจำเลยว่า จำเลยมีอำนาจลงโทษโจทก์ตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 3.5 หรือไม่ ในปัญหาข้อนี้พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า คดีนี้จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุ มิได้สั่งให้โจทก์ออกจากงานไว้ก่อนเพื่อรอผลการสอบสวนพิจารณาตามข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 3.5 ข้อ 6 ทวิ การที่จำเลยให้โจทก์ออกจากงานเพราะเหตุเกษียณอายุถือเป็นการเลิกจ้าง สัญญาจ้างแรงงานจึงสิ้นสุดลงทันที และการแสดงเจตนาเลิกสัญญานี้ไม่อาจถอนได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 386 วรรคสอง ประกอบกับข้อบังคับการรถไฟแห่งประเทศไทยจำเลย ฉบับที่ 3.5 ก็มิได้ให้อำนาจจำเลยที่จะสั่งลงโทษไล่ออกแก่ผู้ที่พ้นจากการเป็นพนักงานไปแล้วได้ จำเลยจึงไม่อาจสั่งลงโทษโจทก์ซึ่งพ้นจากการเป็นพนักงานของจำเลยไปแล้วให้ออกจากงานได้ ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า จำเลยไม่มีสิทธิไล่โจทก์ออกจากงานนั้นชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share