แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยทั้งสองเข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่ดินของโจทก์ ไม่ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นเรื่องการเช่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกประเด็นเรื่องการเช่าขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงเห็นควรวินิจฉัยตามประเด็นที่ถูกต้อง โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารร่วมกันรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินออกไปจากที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 14293 และส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องในที่ดินดังกล่าวอีก ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะรื้อถอนและขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งงดสืบพยาน แล้วพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 14293 ให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายออกจากที่ดินของโจทก์ ส่งมอบที่ดินคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยทั้งสองและบริวารเข้าไปเกี่ยวข้องอีก ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะรื้อถอนหรือขนย้ายออกจากที่ดินของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกเข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่ดินโฉนดเลขที่ 14293 ของโจทก์ ต่อมาโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและขนย้ายบริวารกับทรัพย์สินออกไปจากที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองและเรียกค่าเสียหายเดือนละ 3,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป ส่วนจำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 เข้าปลูกสร้างอาคารในที่ดินของโจทก์ มีกำหนดระยะเวลาไม่น้อยกว่า 9 ปี โดยโจทก์ขอคิดค่าตอบแทนจากจำเลยที่ 2 ในอัตราเดือนละ 3,000 บาท ชั้นพิจารณาโจทก์แถลงยอมรับว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ปลูกสร้างอาคารในที่ดินของโจทก์ แต่ไม่มีข้อตกลงเรื่องกำหนดระยะเวลาและค่าเช่า ส่วนทนายจำเลยทั้งสองแถลงว่า ตามคำให้การไม่ได้ต่อสู้เรื่องการเช่า แต่ต่อสู้เรื่องบุคคลสิทธิในเรื่องสิทธิอาศัยเท่านั้น ตามรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 1 ตุลาคม 2544 เมื่อพิจารณาจากคำให้การของจำเลยทั้งสองแล้ว ก็ปรากฏว่า จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 เข้าไปปลูกสร้างอาคารในที่ดินของโจทก์ มีกำหนดเวลาไม่น้อยกว่า 9 ปี โดยคิดค่าตอบแทนเดือนละ 3,000 บาท จำเลยทั้งสองหาได้ให้การต่อสู้ในประเด็นเรื่องการเช่าแต่อย่างใดไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกประเด็นเรื่องการเช่าขึ้นวินิจฉัยจึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น ปัญหาดังกล่าวเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยตามประเด็นที่ถูกต้อง โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิจารณาพิพากษาใหม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำฟ้อง คำให้การ และคำแถลงของคู่ความว่าโจทก์ยินยอมให้จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลยที่ 1 ปลูกสร้างอาคารในที่ดินของโจทก์ จำเลยทั้งสองจึงอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ได้ตลอดมา แต่เมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนโรงเรือนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ตามเอกสารท้ายฟ้อง แสดงว่าโจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยทั้งสองอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ต่อไป จำเลยทั้งสองจึงไม่มีสิทธิอยู่อาศัยในที่ดินของโจทก์ตั้งแต่เมื่อพ้นกำหนดเวลาตามหนังสือบอกกล่าว
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาให้เป็นพับ.