แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยทำสัญญากู้เงินให้โจทก์แทนการชำระราคาที่ดินบางส่วนที่โจทก์กับพวกขายให้แก่จำเลย หนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินจึงเป็นหนี้ที่แปลงมาจากค่าที่ดินที่จำเลยต้องชำระแก่โจทก์สัญญากู้เงินจึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมายมิใช่เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาขายที่ดิน โจทก์เอาหนี้เงินกู้ที่จำเลยค้างชำระตามสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นต้นเงินกู้ตามสัญญากู้เงินฉบับใหม่ เป็นการแปลงหนี้จากสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นสัญญากู้เงินฉบับใหม่ สัญญากู้เงินฉบับใหม่ใช้บังคับกันได้ตามกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินจำนวน 170,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันกู้ถึงวันชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า ไม่เคยกู้เงินจำนวน 170,000 บาทจากโจทก์ สัญญากู้เงินตามฟ้องเป็นนิติกรรมอำพรางการซื้อขายที่ดินระหว่างโจทก์จำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 386,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 170,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน376,950 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน160,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2521 โจทก์ นางสาวสุนีย์ คำขำและนายวัฒนา คงขำ ทำสัญญาขายที่ดินให้แก่จำเลยในราคา642,000 บาท ตามสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.17 และในวันเดียวกันจำเลยทำสัญญากู้เงินโจทก์จำนวน 192,000 บาท ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.16 ต่อมาวันที่ 10 ตุลาคม 2535 จำเลยทำสัญญากู้เงินให้แก่โจทก์อีกฉบับหนึ่งจำนวนเงิน 170,000 บาทตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยแต่เพียงว่า สัญญากู้เงินระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.17 หรือไม่ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่าที่จำเลยทำสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.16ให้แก่โจทก์เป็นเพราะจำเลยไม่มีเงินชำระค่าที่ดินให้แก่โจทก์ครบถ้วนและเมื่อจำเลยทำสัญญากู้เงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ไว้ก็เท่ากับว่าจำเลยได้ชำระค่าที่ดินให้แก่โจทก์ครบถ้วน ด้วยเหตุนี้หนี้เงินกู้ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.16 จึงเป็นหนี้ที่แปลงมาจากค่าที่ดินที่จำเลยค้างชำระแก่โจทก์ สัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.16 จึงมีผลบังคับได้ตามกฎหมาย หาใช่เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย ล.17 อย่างใดไม่ ส่วนที่โจทก์และจำเลยทำสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 ขึ้นมาอีกฉบับหนึ่งนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์เอาเงินกู้ที่จำเลยค้างชำระตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย ล.16จำนวน 170,000 บาท มาเป็นต้นเงินกู้ตามสัญญากู้เงินเอกสารหมาย จ.1 สัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 จึงเป็นการแปลงหนี้จากสัญญากู้เงินฉบับเดิมมาเป็นสัญญากู้เงินฉบับใหม่และมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย มิได้เป็นนิติกรรมอำพรางสัญญาขายที่ดินแต่อย่างใด
พิพากษายืน