แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินและอาคารพิพาทซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินดังกล่าว โดยอ้างว่าเป็นของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามกฎหมาย การที่ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่าที่ดินและอาคารดังกล่าวเป็นของผู้ร้องแต่ศาลได้พิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ คดีถึงที่สุดไปแล้วเช่นนี้จึงมีผลว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าที่ดินและอาคารพิพาทเป็นของผู้ร้อง คำพิพากษาดังกล่าวย่อมผูกพันผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145ผู้ร้องจะมาร้องขอกันส่วนในคดีนี้อีกโดยอ้างว่ามี กรรมสิทธิ์รวมในอาคารพิพาทหาได้ไม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 247 พร้อมอาคารเลขที่ 462/1, 462/2และอาคารพักอาศัยคนงานซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดิน โดยอ้างว่าเป็นทรัพย์ของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามกฎหมาย
ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในอาคารเลขที่ 462/1, 462/2 และอาคารพักอาศัยคนงานที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์และขายทอดตลาด ก่อนขายทอดตลาดเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้รวม 472,500 บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจำนวน 472,500 บาท ให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องทั้งสองมิได้เป็นผู้มีกรรมสิทธิ์รวมในสิ่งปลูกสร้างอาคารเลขที่ 462/1, 462/2และอาคารพักอาศัยคนงานตามคำร้อง ผู้ร้องที่ 2 ลงนามเป็นผู้รักษาที่ดินโฉนดเลขที่ 247 กับอาคารเลขที่ 462/1, 462/2และอาคารพักอาศัยคนงานที่ปลูกอยู่ในที่ดินซึ่งโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้ โดยผู้ร้องทั้งสองมิได้คัดค้านว่าสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของตนแต่อย่างใดผู้ร้องทั้งสองเคยยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยทรัพย์ที่โจทก์นำยึดทั้งหมดโดยอ้างว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสองขณะที่คดีร้องขัดทรัพย์อยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ผู้ร้องทั้งสองฟ้องโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นจำเลย ขอให้ศาลเพิกถอนการจำนองทรัพย์ที่ยึดในคดีนี้ทั้งหมดและพิพากษาว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสอง คดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษาให้ยกฟ้องของผู้ร้องทั้งสอง และศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้ยกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องทั้งสองต่อมาผู้ร้องทั้งสองฟ้องโจทก์และจำเลยในคดีนี้เป็นจำเลยในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 809/2536 ของศาลชั้นต้น ขอให้ศาลเพิกถอนการจำนองทรัพย์ที่ยึดในคดีนี้ทั้งหมด และพิพากษาว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้องทั้งสอง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องของผู้ร้องทั้งสองโดยวินิจฉัยว่าคดีดังกล่าวเป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 417/2531 ของศาลชั้นต้นผู้ร้องที่ 2 เข้าร่วมประมูลในการซื้อทรัพย์ที่ยึดไว้ทั้งหมดในคดีนี้จากการขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีตลอดมาและเจ้าพนักงานบังคับคดีอนุญาตให้ขายแก่ผู้ร้องที่ 2ในราคา 1,800,000 บาท ผู้ร้องทั้งสองยื่นคำร้องขอกันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดในคดีนี้เพื่อประวิงคดี และเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 ผู้ร้องทั้งสองจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอกันส่วนในคดีนี้
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
ผู้ร้องทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 247พร้อมอาคารเลขที่ 462/1, 462/2 และอาคารพักอาศัยคนงานซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินดังกล่าวโดยอ้างว่าเป็นของจำเลยเพื่อบังคับชำระหนี้ตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ 4 กันยายน 2530ผู้ร้องทั้งสองได้ยื่นคำร้องขัดทรัพย์ว่า ที่ดินและอาคารดังกล่าวเป็นของผู้ร้องทั้งสอง ในที่สุดศาลชั้นต้นได้พิพากษายกคำร้องขัดทรัพย์ของผู้ร้องทั้งสองเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม2536 คดีถึงที่สุด ต่อมาวันที่ 25 พฤษภาคม 2538 ผู้ร้องมายื่นคำร้องนี้ว่า เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ทำการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดคือที่ดินและอาคารในราคา 1,800,000 บาท ผู้ร้องทั้งสองเป็นเจ้าของรวมในอาคารเลขที่ 462/1, 462/2และอาคารพักอาศัยคนงาน ซึ่งเจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินราคาไว้472,500 บาท ขอให้ศาลมีคำสั่งกันเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดจำนวน 472,500 บาท ให้แก่ผู้ร้องทั้งสอง เห็นว่า ในคดีร้องขัดทรัพย์นั้น ผู้ร้องทั้งสองอ้างว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 247 พร้อมอาคารเลขที่ 462/1, 462/2และอาคารพักอาศัยคนงานซึ่งปลูกสร้างอยู่บนที่ดินดังกล่าวเป็นของผู้ร้อง เมื่อศาลพิพากษายกคำร้องของผู้ร้องทั้งสองจึงมีผลว่าข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ตามคำร้องของผู้ร้องทั้งสองว่าที่ดินและอาคารเป็นของผู้ร้องทั้งสอง ผู้ร้องทั้งสองขอให้ปล่อยทรัพย์ตามคำร้องขัดทรัพย์ไม่ได้คำพิพากษาดังกล่าวจึงผูกพันผู้ร้องทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 145 ผู้ร้องทั้งสองจะมาร้องขอกันส่วนอ้างว่ามีกรรมสิทธิ์รวมในอาคารเลขที่ 462/1, 462/2 และอาคารพักอาศัยคนงานอีกหาได้ไม่
พิพากษายืน