แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ก่อนฟ้องคดีก่อน โจทก์ ทราบอยู่แล้วว่าที่ดินพิพาทมีที่งอก ครั้นเวลาโจทก์ฟ้องจำเลยในคดีก่อน ฟ้องขอแบ่งเพียงที่ดินภายในโฉนด ไม่ได้ฟ้องขอแบ่งที่งอกด้วย เหตุที่ฟ้องอ้างว่า ที่พิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางเปลื้องผู้ตายซึ่งเป็นมารดาจำเลย ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดไปแล้ว ต่อมา โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีหลัง ขอแบ่งที่งอกอีกอ้างว่าเป็นสินสมรสเช่นคดีก่อน ถือว่าฟ้องคดีหลังเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 148
ย่อยาว
ตามฟ้อง คำให้การและคำแถลงของคู่ความกัน รับกันว่าโจทก์จำเลยเคยเป็นความกันในคดีก่อน โดยโจทก์ฟ้องขอแบ่งที่ดินในโฉนดที่ ๖๖๗๕ โดยอ้างว่าเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับนางเปลื้องมิได้ฟ้องขอแบ่งที่งอกของที่ดินรายเดียวกัน โดยอ้างว่าเป็นสินสมรสเช่นเดียวกันกับคดีก่อน คดีก่อนถึงที่สุดแล้ว จำเลยเป็นบุตรนางเปลื้อง นางเปลื้องถึงแก่กรรมไปนานแล้ว
จำเลยต่อสู้และขอให้ศาลชี้ขาดว่าเป็นฟ้องซ้ำ
ศาลชั้นต้นชี้ขาดว่า คดีก่อนพิพาทกันเฉพาะที่ดินในโฉนด ๖๖๗๕ ส่วนคดีนี้เกี่ยวกับที่งอก ประเด็นที่จะวินิจฉัยไม่ใช่อาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๓๐๘ ว่า ที่งอกเป็นของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น ฉะนั้น ที่งอกรายนี้จึงรวมเป็นทรัพย์ชิ้นเดียวกันหรือเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อโจทก์เคยฟ้องขอแบ่งทรัพย์ชิ้นนี้โดยอ้างว่าเป็นสินสมรสจนศาลพิพากษาให้แบ่งคดีถึงที่สุดแล้วโจทก์มาฟ้องขอแบ่งทรัพย์อันเดียวกันนี้ โดยอ้างว่าเป็นสินสมรสอีก ย่อมเป็นการฟ้องร้องในประเด็นเดียวกับในคดีก่อน ซึ่งศาลได้วินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงเป็นฟ้องซ้ำ ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา ๑๔๘ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ได้ทราบมานานแล้วก่อนที่โจทก์ฟ้องคดีแรกว่า ที่พิพาทนี้มีที่งอกถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของที่ดินประธานและย่อมเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น เมื่อโจทก์มิได้กล่าวในฟ้องขอแบ่งที่งอกเสียในคดีก่อน ฟ้องคดีนี้จึงเป็นฟ้องซ้ำศาลฎีกาพิพากษายืน