แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ส่งมอบรถแทรกเตอร์ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นไว้เพียงว่า จำเลยได้เอารถแทรกเตอร์ตีใช้หนี้ตามฟ้อง หนี้ระงับแล้วหรือไม่ ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องมีการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้หรือไม่ ไม่ใช่เรื่องหักกลบลบหนี้ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 341 ดังนั้น การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นเรื่องหักกลบลบหนี้จึงเป็นการวินิจฉัยนอกประเด็น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์ไป ๒ ครั้ง ครั้งแรก ๗๐๐,๐๐๐ บาท ครั้งที่สอง ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน ครบกำหนดตามสัญญาแล้ว จำเลยไม่ชำระ ขอให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินดังกล่าวรวมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๓,๔๓๔,๗๕๓.๖๓ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามให้การว่า จำเลยที่ ๑ สั่งซื้อรถแทรกเตอร์จากต่างประเทศเข้ามาจำหน่าย โจทก์ได้ออกเงินทดรองจ่ายค่าต่าง ๆ รวมเป็นเงิน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท แทนจำเลยที่ ๑ จึงให้จำเลยที่ ๑ ทำสัญญากู้ไว้ จำเลยที่ ๑ ไม่ได้รับเงินตามสัญญากู้ สัญญากู้และค้ำประกันไม่สมบูรณ์ จำเลยที่ ๑ ได้ชำระหนี้โดยส่งมอบรถแทรกเตอร์ ๘ คัน รวมเป็นเงิน ๒,๘๘๐.๐๐๐ บาท ให้โจทก์ไปแล้ว มูลหนี้ตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันจึงระงับสิ้นไป โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๓,๔๓๔,๗๕๓.๖๓ บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๕๘๕,๘๙๒.๙๑ บาท แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อย ๑๕ ต่อปี นับแต่วันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๒๓ จนหว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่า การที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ได้ตกลงหักกลบลบหนี้กันแล้ว โดยจำเลยที่ ๑ เอารถแทรกเตอร์ชำระหนี้แทนเป็นการวินิจฉัยไม่ตรงตามประเด็กที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้ จึงเป็นการไม่ชอบ และฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ นำรถมาหักกลบลบหนี้หรือตีใช้หนี้โจทก์แต่ประการใดนั้น เห็นว่า ศาลล่างทั้งสองฟังว่า จำเลยที่ ๑ เป็นหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ โดยมีการแปลงหนี้จากหนี้เงินทดรองจ่ายต่าง ๆ ที่โจทก์ออกแทนให้จำเลยที่ ๑ ไป และสัญญาซื้อขายรถแทรกเตอร์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ คู่สัญญาก็ไม่ได้มีเจตนาจะให้ผูกพันกันตามสัญญา ซึ่งฝ่ายจำเลยมิได้ฎีกาหรือแก้ฎีกาแต่อย่างใดข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยดังกล่าว สำหรับปัญหาเรื่องการหักกลบลบหนี้นั้น จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้เฉพาะเรื่องได้ส่งมอบรถแทรกเตอร์ให้โจทก์ ๘ คัน ชำระหนี้ให้โจทก์แล้ว ซึ่งศาลชั้นต้นก็ได้กำหนดประเด็นไว้เพียงว่า จำเลยได้เอารถแทรกแตอร์ตีใช้หนี้ตามฟ้อง หนี้ระงับแล้วหรือไม่ ประเด็นแห่งคดีจึงเป็นเรื่องมีการชำระหนี้อย่างอื่นแทนการชำระหนี้ที่ได้ตกลงกันไว้หรือไม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องการหักกลบลบหนี้ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๔๑ นอกจากนี้จำเลยมิได้ฟ้องแย้งที่จะขอหักกลบลบหนี้กับหนี้อะไรจากโจทก์ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเป็นเรื่องการหักกลบลบหนี้จึงเป็นการวินิจฉัยประเด็น ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยคงมีเพียงว่า จำเลยที่ ๑ ได้เอารถแทรกเตอร์ตีใช้หนี้โจทก์หรือไม่ ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า ฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้ส่งมอบรถแทรกเตอร์จำนวน ๘ คัน ชำระหนี้แทนเงินตามสัญญากู้ จำเลยทั้งสามจึงต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ แต่โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากจำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี จากต้นเงิน ๗๐๐,๐๐๐ บาท และ ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท นับแต่วันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๒๑ และ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๒๑ ตามลำดับจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ โดยคิดดอกเบี้ยอย่างวิธีธรรมดา.