แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การแก้ไขเพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง นอกจากจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนตามที่พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์กำหนดไว้แล้ว ยังจะต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งด้วยมิฉะนั้นจะไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์และจำเลยได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ ข้อ ๔ มีความว่า “การกู้เงินเดือน เงินสะสม เงินสมทบ จะต้องมีผู้ค้ำประกันซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทฯ โดยมีเงินสะสมไม่น้อยกว่าจำนวนเงินที่ขอกู้ ดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ต่อปี ส่งคืนใน ๒ ปี” หลังจากข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลใช้บังคับแล้ว จำเลยได้ปฏิบัติถูกต้องตลอดมา จนเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๒๓ และวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๒๔ จำเลยได้ออกหนังสือชี้แจงปรับปรุงดอกเบี้ยใหม่เป็นร้อยละ ๑๒ และร้อยละ ๑๓ ต่อปีตามลำดับโดยโจทก์ไม่ยินยอม การแก้ไขเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้สมาชิกของโจทก์ได้รับความเดือดร้อนต้องส่งเสียเงินเพิ่มจากเดิมมากขึ้น โจทก์ได้ท้วงติงหลายครั้ง แต่จำเลยไม่ยอมปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อตกลง จึงขอให้บังคับให้ (๑) ให้จำเลยยกเลิกหนังสือที่เปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยเงินกู้ ทั้งสองฉบับ พร้อมทั้งให้ใช้ข้อตกลงเดิมที่มีอยู่ (๒) ให้จ่ายเงินส่วนที่หักเกินจากร้อยละ ๘ ต่อปีคืนสมาชิกโจทก์พร้อมอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย (๓) ให้เริ่มปันส่วนที่หักเกินจากวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ เป็นต้นมาสำหรับสมาชิกโจทก์ที่กู้ไปและจ่ายเงินคืนภายใน….เดือน
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างการคิดดอกเบี้ยเงินกู้จากโจทก์นั้น จำเลยถือหลักเกณฑ์ว่าหากธนาคารที่โจทก์มียอดเงินสะสมไว้ให้ดอกเบี้ยแก่โจทก์ในอัตราเท่าใด จำเลยก็จะคิดดอกเบี้ยเงินกู้จากโจทก์ในอัตรานั้นและจำเลยได้ถือปฏิบัติตลอดมา โจทก์ก็มิได้ทักท้วงหรือคัดค้านแต่ประการใดจึง ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดพิจารณา โจทก์จำเลยรับข้อเท็จจริงว่า โจทก์จำเลยได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างซึ่งเกิดจากการยื่นข้อเรียกร้องลงวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๒๒ เอกสารหมาย จ.๑ ข้อ ๔ โดยคิดดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ต่อปี จำเลยแถลงว่าอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ต่อปีหมายถึงดอกเบี้ยตามอัตราของธนาคาร จำเลยมีสิทธิเปลี่ยนแปลงได้ตามอัตราขึ้นลงของธนาคารและทางปฏิบัติก็ถืออัตราของธนาคารมาก่อนแล้ว ลูกจ้างก็ได้ปฏิบัติตามตลอดมา ไม่ได้คัดค้าน
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า ตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเอกสารหมาย จ.๑ ข้อ ๔ ที่กำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ร้อยละ ๘ ต่อปี โจทก์จำเลยได้มีเจตนาถือเอาอัตราดอกเบี้ยของธนาคารเป็นหลักในการคิดดอกเบี้ยเงินกู้ของลูกจ้างจำเลยจึงมีสิทธิเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารได้ มิใช่เป็นการแก้ไข เพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ฉะนั้นการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจึงเป็นการเพิ่มขึ้นตามอัตราของธนาคารถูกต้องกับเจตนาและข้อตกลงของโจทก์จำเลยโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกเงินค่าดอกเบี้ยคืน พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างกฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ ก่อนโจทก์จำเลยทำข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.๑ ซึ่งทำเมื่อวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๒๒ นั้น จำเลยได้จัดให้ลูกจ้างกู้เงินอยู่แล้วโดยคิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ ๘ ต่อปี ต่อมาเมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ ได้มีการเจรจาเกี่ยวกับข้อเรียกร้องเรื่องเงินกู้ ข้อตกลงก็เพียงแต่ขอให้เพิ่มจำนวนเงินที่ให้กู้เท่านั้นโดยนำเงินสมทบที่ได้มาเป็นยอดเงินกู้ มิได้เกี่ยวกับเรื่องอัตราดอกเบี้ยด้วย ผลการเจรจาคงคิดดอกเบี้ยในอัตราเดิมคือร้อยละ ๘ ต่อปี ดังปรากฏตามข้อ ๔ ของข้อตกลงเอกสารหมาย จ.๑ ไม่มีข้อความที่พอแสดงให้เห็นว่าคู่กรณีตกลงให้ถือเอาอัตราดอกเบี้ยตามธนาคาร ซึ่งทั้งนี้หากคู่กรณีตกลงให้ถือเอาอัตราดอกเบี้ยตามธนาคารก็น่าจะต้องระบุไว้ให้ชัด เพราะเหตุว่าการคิดดอกเบี้ยตามอัตราของธนาคารนั้นอาจจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงได้ไม่แน่นอน ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามเอกสารหมาย จ.๑ ข้อ ๔มีข้อความชัดเจนอยู่แล้วไม่มีทางแปลเป็นอย่างอื่นได้ ฉะนั้นการที่จำเลยเรียกดอกเบี้ยเพิ่มเป็นร้อยละ ๑๒ และ ๑๓ ต่อปีตามธนาคารโดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์และมิได้เปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างตามขั้นตอนของกฎหมายจึงหามีผลบังคับไม่ ส่วนที่โจทก์ขอให้ยกเลิกหนังสือที่เปลี่ยนแปลงดอกเบี้ยเงินกู้เห็นว่าเมื่อการเปลี่ยนแปลงไม่ชอบ ไม่มีผลบังคับเสียแล้วก็ไม่จำเป็นต้องสั่งเพิกถอนอีก
พิพากษากลับเป็นว่า ให้จำเลยจ่ายเงินดอกเบี้ยส่วนที่หักเกินจากอัตราร้อยละ ๘ ต่อปี โดยเริ่มนับจากวันที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ เป็นต้นไปคืนกับสมาชิกโจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก