คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3513/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาระยอง ชักชวนโจทก์ให้เปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ เพื่อเป็นผลงาน โดยนำแบบฟอร์มต่าง ๆ ของธนาคารจำเลยที่ 1 มาให้โจทก์ลงลายมือชื่อ แล้วดำเนินการนำเงินของโจทก์ไปฝากให้ มิใช่เป็นเรื่องที่โจทก์มอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนโจทก์ แต่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้ความไว้วางใจในฐานะที่จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของธนาคารจำเลยที่ 1 ในการบริการความสะดวกให้แก่โจทก์ตามที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบมอบหมายให้จำเลยที่ 2 ช่วยธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบหาลูกค้าให้ ธนาคารจำเลยที่ 1 ออกสมุดคู่ฝากแทนสมุดคู่ฝากของโจทก์ตามที่จำเลยที่ 2 แจ้งว่าหายให้แก่จำเลยที่ 2 ไป โดยไม่ได้ตรวจสอบหลักฐานการแจ้งความ และหลักฐานดังกล่าวก็ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แจ้งความด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 แจ้งความไว้ เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 นำสมุดคู่ฝากที่ออกแทนสมุดที่อ้างว่าหายดังกล่าวไปขอเบิกเงินพร้อมกับขอปิดบัญชีของโจทก์โดยโจทก์ไม่รู้เห็นถือว่าธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อโดยไม่ใช้ความระมัดระวังด้วยฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการของธนาคารอันเป็นอาชีพของตน แม้ลายมือชื่อของใบถอนจะตรงกับตัวอย่างลายมือชื่อในใบตัวอย่างลายมือชื่อ แต่เมื่อโจทก์มิได้รับเงินจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 และยังถือสมุดคู่ฝากฉบับเดิมซึ่งยังไม่มีหลักฐานการถอนเงินจากจำเลยที่ 1 โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 รับผิดคืนเงินฝากดังกล่าวได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ประกอบธุรกิจการธนาคาร มีจำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างทำหน้าที่รับฝากเงินโดยเปิดบัญชีเงินฝาก ตลอดจนให้บริการฝากเงินหรือถอนเงินจากบัญชีแก่ลูกค้า โจทก์ฝากเงินกับจำเลยที่ 1 ตามคำแนะนำของจำเลยที่ 2 โดยเปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาพัทยา เป็นเงิน 2,000,000 บาท ใช้ชื่อบัญชีว่า “แต้ไอ้บุ้ง” เพื่อโอนไปเปิดบัญชีที่สาขาสัตหีบ ซึ่งจะเปิดบริการต่อไปต่อมาโจทก์ต้องการถอนเงินฝากพร้อมดอกเบี้ยทั้งหมดคืน จำเลยที่ 2 นำใบถอนเงินซึ่งยังไม่ได้กรอกข้อความมาให้โจทก์ลงลายมือชื่อ มอบให้จำเลยที่ 2 ไป ระหว่างจำเลยที่ 2 ยังมิได้ดำเนินการถอนเงิน โจทก์เปลี่ยนใจต้องการฝากต่อไป จำเลยที่ 2แจ้งว่าฉีกใบถอนเงินดังกล่าวทิ้งแล้ว ต่อมาโจทก์ต้องการถอนเงิน จึงไปติดต่อธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ ซึ่งได้รับโอนเงินฝากของโจทก์มาจากสาขาพัทยาแล้ว ได้รับแจ้งว่ามีการถอนเงินฝากดังกล่าวทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยทั้งหมดไป เป็นเงิน 2,116,359.82 บาทปิดบัญชีไปแล้ว การถอนเงินดังกล่าวเนื่องจากการกระทำโดยทุจริตของจำเลยทั้งสองโดยมีบุคคลใช้ชื่อแต้ไอ้บุ้งไปแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่า สมุดฝากเงินบัญชีดังกล่าวหาย แล้วจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 ลูกจ้าง และจำเลยที่ 2 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ธนาคารจำเลยที่ 1 คนอื่นนำหลักฐานการแจ้งความไปเป็นหลักฐานออกสมุดคู่ฝากใหม่จากนั้นจำเลยที่ 2 นำใบถอนเงินฝากซึ่งโจทก์ลงลายมือชื่อมอบให้ไว้เดิมมาถอนเงินไปทั้งหมดมิได้นำเงินมาให้โจทก์ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ 2,357,276.82 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การว่า โจทก์ได้รับความเสียหายเกิดจากความไว้เนื้อเชื่อใจจำเลยที่ 2 เป็นการส่วนตัว โดยลงลายมือชื่อในใบถอนเงินโดยไม่ได้กรอกข้อความมอบให้จำเลยที่ 2 ไป ความเสียหายที่ได้รับจึงเกิดจากจำเลยที่ 2 ผิดนัดต่อโจทก์ไม่ดำเนินการในฐานะตัวแทนของโจทก์ จำเลยที่ 2 ทำงานที่ธนาคารจำเลยที่ 1สาขาระยอง ในตำแหน่งผู้ช่วยสมุห์บัญชี ส่วนเหตุที่ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเกิดที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ ไม่ใช่สำนักงานประจำของจำเลยที่ 2 ตามที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ 1 แต่อย่างใด การถอนเงินฝากดังกล่าวพนักงานจำเลยที่ 1สาขาสัตหีบ กระทำการโดยสุจริต ปราศจากความประมาทเลินเล่อ โดยตรวจสอบลายมือชื่อของโจทก์ตามระเบียบวิธีปฏิบัติแล้ว เห็นว่าถูกต้องตรงกับตัวอย่างที่มอบไว้จึงคืนเงินฝากให้ไปจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองชำระเงิน 2,116,359.82 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 21 เมษายน 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้หากจำเลยคนใดชำระเงินแก่โจทก์เพียงใดแล้ว ให้โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับเอากับจำเลยอีกคนหนึ่งเพียงนั้น
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาในชั้นนี้ตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ กับจำเลยที่ 1 จะต้องคืนเงินฝากตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่ในปัญหาทั้งสองนี้เห็นควรวินิจฉัยไปพร้อมกัน โจทก์มีโจทก์และนายมหรรณพ วสะหลายผู้รับมอบอำนาจโจทก์ต่างเบิกความสอดคล้องกันได้ความว่า จำเลยที่ 2 ชักชวนโจทก์ให้เปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ เพื่อเป็นผลงาน แต่เนื่องจากธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ ยังไม่เปิดทำการ จึงให้เปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาพัทยาไว้ก่อน พร้อมกับทำเรื่องขอโอนบัญชีเงินฝากไปยังธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบด้วย โจทก์ตกลงจึงปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาระยอง ของโจทก์ จำนวนเงิน 2,000,000 บาท และมอบเงินให้จำเลยที่ 2 นำเงินจำนวนดังกล่าวไปเปิดบัญชีที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาพัทยา จำเลยที่ 2 ได้นำเอกสารหมาย จ.1 ถึง จ.3 ซึ่งเป็นคำขอเปิดบัญชี ในตัวอย่างลายมือชื่อและใบขอโอนเงินฝาก ให้โจทก์ลงลายมือชื่อไว้โดยเอกสารดังกล่าวยังไม่ได้กรอกข้อความ โดยจำเลยที่ 1 มิได้นำสืบหักล้างพยานโจทก์ในส่วนนี้ จึงรับฟังได้ว่า บัญชีเงินฝากประจำจำนวนเงิน 2,000,000 บาท ที่ฝากไว้กับธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาพัทยา ซึ่งต่อมาได้โอนไปฝากทธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ ตามสำเนา คำขอเปิดบัญชีเอกสารหมาย จ.1 และคำขอเปิดบัญชีเอกสารหมาย ล.1 สำเนาใบตัวอย่างลายมือชื่อเอกสารหมาย จ.2 และใบตัวอย่างลายมือชื่อเอกสารหมาย จ.13 สำเนาใบขอโอนเงินฝากเอกสารหมาย จ.3 และใบขอโอนเงินฝากเอกสารหมาย ล.2 เป็นบัญชีเงินฝากประจำของโจทก์ที่เปิดไว้กับธนาคารจำเลยที่ 1 แม้ทางนำสืบของโจทก์จะไม่ได้ความว่า จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2ทุจริตโกงเงินโจทก์ตามฟ้องก็ตาม แต่ก็ได้ความจากพยานโจทก์ปากโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 ชักชวนโจทก์เปิดบัญชีฝากเงินประจำที่ธนาคารจำเลยที่ 1 เพื่อเป็นผลงานโดยโจทก์มีนางเสาวรสซึ่งเป็นพนักงานธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ ในขณะเกิดเหตุเบิกความว่า จำเลยที่ 2 เคยบอกพยานว่า มีเงินจะนำมาฝาก โดยลงว่าพยานเป็นผู้แนะนำซึ่งจะก่อให้เกิดผลงานของพยาน แต่จำเลยที่ 2 ไม่เคยนำเงินไปฝาก และไม่เคยแนะนำบุคคลอื่นให้นำเงินไปฝาก จำเลยที่ 2 เคยโอนเงินผ่านธนาคารไปที่สาขาพัทยา จำนวน 2,000,000 บาท เพื่อจะรอไปฝากที่สาขาสัตหีบอีกครั้งหนึ่งนั้น แม้นางเสาวรสจะไม่ยืนยันในเรื่องจำเลยที่ 2 แนะนำบุคคลอื่นให้นำเงินไปฝาก แต่ปรากฏตามคำให้การของนางเสาวรสในชั้นสอบสวน ตามสำเนาคำให้การของนางเสาวรส ชั้นสอบสวน เอกสารหมาย ป.จ.2 ของศาลจังหวัดระยอง ระบุว่าเมื่อประมาณเดือนสิงหาคม 2534 ขณะนั้นพยานทำงานในตำแหน่งหัวหน้าการเงินประจำธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ ซึ่งเปิดทำการใหม่มีการระดมเงินฝากจากลูกค้าเพื่อทำยอดบัญชี โดยจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคนรู้จักกันและทำงานอยู่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาระยอง ตำแหน่งผู้ช่วยสมุห์บัญชีได้ช่วยเหลือนำเงินลูกค้าเข้าฝากจำนวน 2,000,000 บาท ในนามแต้ไอ้บุ้ง ทราบว่าเป็นลูกค้าของจำเลยที่ 2 เองที่ระยองโดยเปิดบัญชีครั้งแรกในนามสาขาพัทยาก่อนและต่อมาก็โอนมาเปิดบัญชีที่สำนักงานสัตหีบซึ่งตามสำเนาคำให้การชั้นสอบสวนเอกสารหมาย ป.จ.2 ของศาลจังหวัดระยอง นางเสาวรสยอมรับว่าได้ลงลายมือชื่อไว้จึงรับฟังได้ว่า นางเสาวรสได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวนจริง และได้ความจากนางสาวประไพพยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบว่า ก่อนที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบจะเปิดทำการเป็นทางการนั้น ทางธนาคารดังกล่าวนั้น จะมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ที่ธนาคารและออกไปหาลูกค้าเพื่อชักจูงและแนะนำให้นำเงินมาฝากที่ธนาคารดังกล่าวนี้ จำเลยที่ 2 ได้เข้ามาช่วยธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ เพื่อหาลูกค้าที่จะนำเงินมาฝากให้แก่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ พยานโจทก์ดังกล่าวเบิกความสอดคล้องกับคำให้การของนางเสาวรสโดยไม่มีข้อพิรุธว่า ได้เบิกความและให้การเพื่อช่วยเหลือโจทก์ เพราะนางเสาวรส เคยเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 สาขาระยองและสาขาสัตหีบมาก่อน ส่วนนางสาวประไพเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งในปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาตราด จึงรับฟังได้ว่า ในการที่จำเลยที่ 2 ชักชวนโจทก์ให้เปิดบัญชีเงินฝากประจำดังกล่าวนั้นจำเลยที่ 2 ได้กระทำไปในฐานะพนักงานของจำเลยที่ 1 เพื่อให้ได้ผลงานของจำเลยทั้งสองร่วมกัน การที่โจทก์มอบความไว้วางใจให้แก่จำเลยที่ 2 เป็นผู้ติดต่อนำเงินของโจทก์ไปฝาก โดยจำเลยที่ 2 มีแบบฟอร์มของธนาคารจำเลยที่ 1 มาให้โจทก์ลงชื่อนั้น มิใช่โจทก์จะมอบหมายให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนโจทก์ในฐานะที่จำเลยที่ 2 มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโจทก์โดยตรง เพราะโจทก์มีนายมหรรณพ ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ซึ่งเป็นบุตรโจทก์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกว่าจำเลยที่ 2 ถ้าโจทก์ประสงค์จะให้เป็นตัวแทนโจทก์แล้วก็น่าจะมอบให้แก่นายมหรรณพไปดำเนินการแทนได้ ดังนั้น การที่โจทก์ได้เปิดบัญชีเงินฝากประจำของตนดังกล่าวนั้นจึงเป็นเรื่องโจทก์ให้ความไว้วางใจในฐานะที่จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของธนาคารจำเลยที่ 1 ในการบริการความสะดวกให้แก่โจทก์ ตามที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบมอบหมายให้จำเลยที่ 2 ช่วยธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบหาลูกค้าให้ในการบริการความสะดวกแก่ลูกค้านั้นปรากฏว่าจำเลยที่ 2 เพียงแต่นำเงินของโจทก์คำขอเปิดบัญชีตามเอกสารหมาย ล.1 หรือสำเนาเอกสารหมาย จ.1 ซึ่งมีลายมือชื่อโจทก์ผู้ขอเปิดบัญชีได้ลงไว้ ใบตัวอย่างลายมือชื่อผู้ขอเปิดบัญชีเอกสารหมาย จ.13 หรือสำเนาใบตัวอย่างลายมือผู้ขอเปิดบัญชีเอกสารหมาย จ.2 ซึ่งมีลายมือชื่อโจทก์ได้ลงไว้และใบขอโอนเงินฝากเอกสารหมาย ล.2 หรือสำเนาใบขอโอนเงินฝากเอกสารหมาย จ.3 ซึ่งมีลายมือชื่อโจทก์ได้ลงไว้ มามอบให้แก่พนักงานของธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาพัทยาทางธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาพัทยา ก็รับเปิดบัญชีให้แก่โจทก์แล้ว โดยทางธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาพัทยา มิได้ติดตามเรียกหลักฐานอื่นเช่นบัตรประจำตัวประชาชนของลูกค้าจากจำเลยที่ 2 มาตรวจสอบยืนยันว่าผู้ฝากเป็นใคร ทั้งธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาพัทยาได้จัดการโอนบัญชีเงินฝากของโจทก์ไปยังธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ เมื่อธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบเปิดทำการแล้ว โดยธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบได้รับโอนมา โดยมิได้ทักท้วงในเรื่องตัวลูกค้ามิได้มาติดต่อด้วยตนเอง ทั้งมิได้เรียกหลักฐานบัตรประจำตัวประชาชนของลูกค้ามาตรวจสอบเช่นกัน นอกจากนั้นยังปรากฏว่าธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบได้ออกสมุดคู่ฝากให้แก่จำเลยที่ 2 รับไป โดยที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบยังมิได้เรียกเก็บสมุดคู่ฝากที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาพัทยาได้ออกให้แก่ลูกค้าคืนจากจำเลยที่ 2 ทันที พฤติการณ์เช่นนี้จึงเป็นเรื่องธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ ให้ความไว้วางใจจำเลยที่ 2 ในฐานะที่จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาระยอง ซึ่งได้มาช่วยหาลูกค้าให้ในนามของธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ การออกสมุดคู่ฝากให้แก่จำเลยที่ 2 รับไปเช่นนี้ ย่อมแสดงว่ามอบให้จำเลยที่ 2 ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานของจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ เพื่อให้จำเลยที่ 2 นำไปมอบให้แก่ลูกค้า แล้วเรียกสมุดคู่ฝากเดิมคืนจากลูกค้าเพื่อนำมามอบให้แก่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบในภายหลัง แต่ในเวลาต่อมาจำเลยที่ 2 มิได้นำสมุดคู่ฝากเดิมมามอบให้แก่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ โดยธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ มิได้ติดตามเรียกคืนจากจำเลยที่ 2 การกระทำของธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบในช่วงนี้ถือได้ว่ากระทำไปโดยมิได้ปฏิบัติไปด้วยความระมัดระวังเช่นผู้มีวิชาชีพอันควรพึงกระทำ จึงเป็นการกระทำประมาทเลินเล่อของธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบโดยตรง ประกอบกับการที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบได้ออกสมุดคู่ฝากแทนสมุดที่หายให้จำเลยที่ 2 รับไปตามสมุดคู่ฝากบัญชีเงินฝากประจำเอกสารหมาย ป.จ.4 ของศาลจังหวัดตราดนั้น ในขณะที่ทางจำเลยที่ 2 เพียงแต่โทรศัพท์ไปบอกธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ แต่ยังไม่ได้ส่งหลักฐานการแจ้งความตามเอกสารหมาย จ.8 ไปยังธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ ตามที่นางสาวประไพได้เบิกความไว้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความไว้วางใจที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบมีต่อจำเลยที่ 2 ที่ได้ช่วยงานหาลูกค้าให้ จึงดำเนินการออกสมุดคู่ฝากแทนสมุดที่หายไว้ก่อนทั้งที่ยังไม่มีหลักฐานแน่ชัดนอกจากนั้นเมื่อจำเลยที่ 2 ได้นำหลักฐานการแจ้งความตามสำเนาแบบเรื่องราวขออนุญาตต่าง ๆ เอกสารหมาย จ.8 มายื่นต่อธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ โดยหลักฐานดังกล่าวนั้นไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้แจ้งความด้วยตนเองหรือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 แจ้งความไว้ อีกทั้งหลักฐานดังกล่าวมิได้ลงลายมือชื่อผู้ขออนุญาต ก็ไม่ปรากฏว่าธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ ได้ทำการตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงข้อพิรุธในส่วนนี้แต่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบกลับมอบสมุดคู่ฝากแทนสมุดที่หายให้แก่จำเลยที่ 2 รับไปในฐานะที่จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ในช่วงนี้ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความประมาทเลินเล่อโดยไม่ใช้ความระมัดระวังด้วยฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการของธนาคารอันเป็นอาชีพของตน และผลของความประมาทของธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบดังกล่าวแล้ว เป็นเหตุให้จำเลยที่ 2 ใช้สมุดคู่ฝากแทนสมุดที่หายที่ตนได้รับนั้นยึดถือเป็นของตนเอง โดยจำเลยที่ 2 มิได้นำไปส่งมอบให้แก่โจทก์ และจำเลยที่ 2 ได้นำสมุดคู่ฝากแทนสมุดที่หายดังกล่าวไปขอเบิกเงินพร้อมกับขอปิดบัญชีของโจทก์โดยมิให้โจทก์รู้ตัวทัน เพราะโจทก์มิได้รับสมุดคู่ฝากแทนสมุดที่หายจากจำเลยที่ 2 โจทก์ยังคงถือสมุดคู่ฝากฉบับเดิมอยู่จากความประมาทเลินเล่อของจำเลยที่ 1 หลายครั้งด้วยกันดังกล่าวแล้ว ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบยังอนุมัติให้จำเลยที่ 2 ถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวไป พร้อมทั้งปิดบัญชีโดยมิได้ทำการตรวจสอบความถูกต้องตามขั้นตอนอย่างรอบคอบเพราะความเชื่อถือที่จำเลยที่ 2 เป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 แล้ว จำเลยที่ 2 ยังดำเนินการโอนเงินที่ถอนจากบัญชีโจทก์เข้าบัญชีของนางสมบูรณ์แม่ยายของจำเลยที่ 2 จำนวน 1,100,000 บาท กับโอนเข้าบัญชีของนายอดิศักดิ์ จำนวนเงิน900,000 บาท ในวันเดียวกัน กับที่จำเลยที่ 2 ได้ถอนเงินและปิดบัญชีของโจทก์ตามสำเนาเอกสารหมาย จ.9 และ จ.10 การกระทำของจำเลยที่ 2 ในช่วงนี้ถือได้ว่า เป็นข้อพิรุธอย่างชัดแจ้งเพราะทางธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบรู้แล้วว่า บัญชีเงินฝากดังกล่าวมิใช่ของจำเลยที่ 2 แต่เป็นของลูกค้าและจำเลยที่ 2 นำเงินที่ถอนได้โอนให้แก่บุคคลอื่นและแม่ยายของตนไป โดยมิได้นำเงินไปมอบให้แก่โจทก์ตามหน้าที่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 การกระทำของธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบที่ได้กระทำไปโดยความประมาทเลินเล่อ และจำเลยที่ 2 กระทำผิดต่อหน้าที่ในฐานะเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 ดังกล่าว จำเลยที่ 1 จึงหาอาจพ้นความรับผิดของตนโดยอ้างเหตุแต่เพียงว่าลายมือชื่อของใบถอนเงินฝากประจำตามเอกสารหมาย จ.14 ตรงกับตัวอย่างลายมือชื่อในสำเนาใบตัวอย่างลายมือชื่อ เอกสารหมาย จ.2 หรือใบตัวอย่างลายมือชื่อเอกสารหมาย จ.13 หาได้ไม่ ในเมื่อโจทก์มิได้รับเงินจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นพนักงานของจำเลยที่ 1 โดยที่โจทก์ยังถือสมุดคู่ฝากฉบับเดิมซึ่งยังไม่มีหลักฐานการถอนเงินจากจำเลยที่ 1 การที่ธนาคารจำเลยที่ 1 สาขาสัตหีบปฏิเสธการถอนเงินของโจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 รับผิดตามฟ้องได้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share