แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยฐานผิดสัญญากู้เงิน สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบังคับจำนอง จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยทำสัญญาดังกล่าวกับโจทก์ โจทก์เป็นฝ่ายละเมิดสัญญาและประเพณีที่ธนาคารยึดถือปฏิบัติต่อลูกค้า โจทก์ตกลงจะลดยอดหนี้ลงให้ถูกต้อง ถ้าหากจำเลยขายที่ดินบางส่วนมาชำระหนี้ ทำให้จำเลยต้องขายที่ดินในราคาต่ำกว่าในท้องตลาด จำเลยต้องเสียหายสูญเสียโอกาสและราคาที่ดินที่ควรจะได้รับ แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ทำให้จำเลยได้รับความเสียหายประมาณ 4,000,000 บาท เมื่อหักกับยอดหนี้ที่ถูกต้องประมาณ 3,600,000 บาท โจทก์จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลย 400,000 บาท ขอบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหาย 400,000บาท แก่จำเลย พร้อมดอกเบี้ย คำฟ้องแย้งดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยอ้างว่าโจทก์ประพฤติผิดสัญญาที่ตกลงไว้กับจำเลย ซึ่งเป็นเรื่องใหม่นอกเหนือจากคำฟ้องเดิม จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมที่จะรวมพิจารณาพิพากษาไปในคดีเดียวกันได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินและสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี โดยให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 11,306,418.79 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 9,859,844.96 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ โดยให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระเงิน 8,765,426.81 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ของต้นเงิน 7,490,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองพร้อมสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสองออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ ไม่เคยทำสัญญากู้เงินโจทก์ จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี ลายมือชื่อในสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีมิใช่ของจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 ไม่เคยนำที่ดินไปจดทะเบียนจำนองตามฟ้อง โจทก์คิดคำนวณดอกเบี้ยไม่ถูกต้อง จำเลยที่ 1 ไม่เคยได้รับหนังสือทวงถามและให้ไถ่ถอนจำนองจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามฟ้อง กับฟ้องแย้งว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาและทำผิดประเพณีที่ธนาคารถือปฏิบัติต่อลูกค้ากับฝ่าฝืนระเบียบตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยทำให้จำเลยที่ 1 เสียหายเป็นเงินประมาณ 4,000,000 บาท เมื่อหักกับยอดหนี้ที่ถูกต้องประมาณ 3,600,000 บาท แล้วโจทก์จึงต้องรับผิดชำระเงินให้แก่จำเลยที่ 1อีก 400,000 บาท ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ชำระเงิน 400,000 บาท แก่จำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับคำให้การ ส่วนฟ้องแย้งเป็นฟ้องแย้งที่มีเงื่อนไข จึงไม่รับ
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “จำเลยที่ 1 ฎีกาว่าโจทก์สร้างเงื่อนไขจูงใจให้จำเลยที่ 1 ขายที่ดินหลายแปลงเพื่อปลดหนี้แยกเป็นบัญชีไป ทำให้จำเลยที่ 1 สูญเสียประโยชน์จากราคาที่ดินตามราคาในท้องตลาด แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง โจทก์จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 ฟ้องแย้งเกี่ยวกับค่าเสียหายดังกล่าวจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม ชอบที่ศาลจะรับไว้พิจารณาต่อไป เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองฐานผิดสัญญากู้เงิน สัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีและบังคับจำนอง จำเลยที่ 1 ให้การต่อสู้คดีว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยทำสัญญากู้เงิน ไม่เคยทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชี และไม่เคยทำสัญญาจำนองที่ดินกับโจทก์ การคิดคำนวณดอกเบี้ยของโจทก์ไม่ถูกต้อง โจทก์เป็นฝ่ายละเมิดสัญญาและประเพณีที่ธนาคารยึดถือปฏิบัติต่อลูกค้า โจทก์ตกลงจะลดยอดหนี้ลงให้ถูกต้อง ถ้าหากจำเลยที่ 1 ขายที่ดินบางส่วนมาชำระหนี้ ทำให้จำเลยที่ 1 ต้องขายที่ดินในราคาต่ำกว่าในท้องตลาด จำเลยที่ 1 ต้องเสียหายสูญเสียโอกาสและราคาที่ดินที่ควรจะได้รับ แต่โจทก์ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ทำให้จำเลยที่ 1 ได้รับความเสียหายเป็นเงินประมาณ 4,000,000 บาท เมื่อหักกับยอดหนี้ที่ถูกต้องประมาณ 3,600,000 บาท โจทก์จึงต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยที่ 1 จำนวน 400,000 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ขอถือเอาเป็นทุนทรัพย์ฟ้องแย้ง ขอศาลบังคับให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายจำนวน 400,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จคำฟ้องแย้งดังกล่าวเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าโจทก์ประพฤติผิดสัญญาที่ตกลงไว้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเรื่องใหม่นอกเหนือจากคำฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 จึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมที่จะรวมพิจารณาพิพากษาไปในคดีเดียวกันได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน