แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยส่งจดหมายข่มขู่เรียกเอาเงินจากผู้เสียหาย หากขัดขืนจะทำการระเบิดร้านค้าของผู้เสียหายให้พังพินาศ แต่ผู้เสียหายไม่ยอมให้เงินหรือยอมรับว่าจะให้เงินแก่จำเลยตามที่เรียกร้องถือได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานพยายามกรรโชกแม้จำเลยไม่ได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกวินิจฉัยเองได้ เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 337 และคืนของกลางแก่ผู้เสียหาย จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 ประกอบมาตรา 83 ให้ลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 2 ปี ให้คืนของกลางแก่เจ้าของ จำเลยทั้งสามอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกาโดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาคดีนี้อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุมีคนร้ายเขียนจดหมายขู่เอาเงินจากนายณรงค์ บุญบรรเจิดศรีผู้เสียหายจำนวน 25,000 บาท เจ้าพนักงานตำรวจและผู้เสียหายจึงร่วมกันวางแผนจับกุมคนร้ายดังกล่าวโดยให้ผู้เสียหายเอาเงินจำนวน900 บาท มัดรวมกับกระดาษที่ตัดเท่ากับธนบัตรจริงใส่ในกล่องกระดาษผ้าอนามัยแล้วนำไปวางไว้ ณ ศาลาที่พักคนโดยสารรถยนต์ประจำทางในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 18 นาฬิกา ซึ่งเป็นสถานที่ที่คนร้ายระบุไว้ในจดหมายขู่จากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจหลายนายและผู้เสียหายต่างแยกย้ายออกซุ่มดูคนร้ายที่จะมาเอากล่องกระดาษใส่เงินดังกล่าวเพื่อเข้าทำการจับกุม ครั้นเวลาเกือบ 24 นาฬิกา จำเลยทั้งสามเดินไปที่ศาลาที่พักคนโดยสารและจำเลยที่ 1 ได้หยิบกล่องกระดาษใส่เงินดังกล่าวแล้ว จำเลยทั้งสามก็พากันขึ้นรถยนต์โดยสารประจำทางที่ผ่านมา จึงถูกเจ้าพนักงานตำรวจที่ซุ่มดูอยู่ติดตามจับกุมได้พร้อมด้วยกล่องกระดาษใส่เงินดังกล่าวเป็นของกลาง ปัญหามีว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำผิดตามฟ้องด้วยหรือไม่โจทก์มีประจักษ์พยาน 2 ปากคือ ผู้เสียหายและสิบตำรวจโทไพฑูรย์โพธิเวชกุล ต่างเบิกความยืนยันว่า หลังจากวางแผนจับกุมและผู้เสียหายนำกล่องใส่เงินดังกล่าวไปวางไว้ในศาลาที่พักคนโดยสารแล้วผู้เสียหายกับเจ้าพนักงานตำรวจบางนาเข้าไปซุ่มดูอยู่บริเวณธนาคารทหารไทย จำกัด สาขาสัตหีบ ซึ่งอยู่ห่างจากศาลาที่พักคนโดยสารประมาณ 60-70 เมตร ส่วนสิบตำรวจโทไพฑูรย์ กับพวกอีกคนหนึ่งไปซุ่มดูอยู่ข้างโรงภาพยนตร์สัตหีบบันเทิง ห่างจากศาลาที่พักคนโดยสารประมาณ 100 เมตร จนเวลาเกือบเที่ยงคืนเห็นจำเลยทั้งสามเดินเข้าไปในศาลาที่พักคนโดยสาร แล้วจำเลยคนหนึ่งก็มองซ้ายมองขวาแล้วเดินเข้าไปหยิบกล่องกระดาษใส่เงินตรงมุมที่พักคนโดยสารและแกะออกดู หลังจากแกะออกดูแล้วก็มองซ้ายมองขวาอีกจากนั้นจำเลยทั้งสามก็ขึ้นรถยนต์โดยสารที่แล่นผ่านมา สิบตำรวจโทไพฑูรย์จึงขับรถจักรยานยนต์โดยพวกคนหนึ่งนั่งซ้อนท้ายไล่ตามไปจนทันแล้วบังคับให้รถหยุด คนที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์วิ่งไปทางท้ายรถยนต์โดยสาร แล้วร่วมกันจับกุมจำเลยทั้งสาม บังคับให้ส่งกล่องกระดาษของกลางให้ นอกจากนี้ปรากฏจากคำเบิกความของผู้เสียหายว่าในระหว่างแอบซุ่มดูอยู่มีคนเข้าไปรอรถในศาลาที่พักคนโดยสารหลายคนแต่ไม่มีใครสนใจหยิบกล่องกระดาษนั้นดู ศาลฎีกาเห็นว่า กล่องกระดาษนั้นเป็นกล่องใส่ผ้าอนามัยสำหรับผู้หญิงใช้ในขณะมีประจำเดือน และกล่องดังกล่าวไม่ได้ใส่ถุงหรือมีสิ่งใดห่อหุ้มปกปิดวางไว้โดยเปิดเผยในที่สาธารณสถานย่อมไม่มีผู้ใดสนใจหยิบมาดูนอกจากผู้ที่รู้ข้อความในจดหมายเท่านั้น จึงจะทราบความจริงว่ามีเงินบรรจุอยู่ในกล่องดังกล่าวการที่จำเลยทั้งสามเดินเข้าไปในศาลาที่พักคนโดยสารด้วยกัน แล้วจำเลยที่ 1 มองซ้ายมองขวาเป็นพิรุธก่อนที่จะเดินเข้าไปหยิบกล่องใส่เงินดังกล่าวแกะออกดูโดยจำเลยที่ 2ที่ 3 มิได้ห้ามปรามแล้วพากันขึ้นรถยนต์โดยสารที่แล่นผ่านมา โดยจำเลยที่ 1 เอากล่องใส่เงินไปด้วยนั้น แสดงว่าจำเลยทั้งสามทราบดีว่าต้องเป็นกล่องใส่เงินที่มีคนนำมาวางไว้ให้ตามคำขู่ในจดหมายเอกสารหมาย จ.1 เพราะเป็นกล่องมีลักษณะเหมือนกับที่ระบุไว้ในจดหมายขู่ดังกล่าว ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 นำสืบว่า นัดกันไปดูภาพยนตร์ที่จะฉายในเวลาประมาณ 23.30 นาฬิกา แต่กลับนัดพบกันในเวลาประมาณ19 นาฬิกา ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับเวลาที่ระบุไว้ในจดหมายนัดให้ผู้เสียหายนำกล่องใส่เงินไปวางไว้ ต่อมาเมื่อไปถึงโรงภาพยนตร์เวลาประมาณ 22 นาฬิกา แทนที่จำเลยทั้งสามจะรออยู่ที่บริเวณโรงภาพยนตร์นั้นหรือสถานที่ใกล้ ๆ กัน แต่พากันไปเดินเที่ยวในตลาดจนกลับมาไม่ทันเวลาที่ภาพยนตร์เริ่มฉายนั้น น่าเชื่อว่าจำเลยทั้งสามพากันไปที่ศาลาที่พักผู้โดยสารเพื่อตรวจดูว่ามีการนำกล่องกระดาษผ้าอนามัยมาวางไว้หรือไม่ และคอยโอกาสที่จะเข้าไปเอากล่องกระดาษดังกล่าวเมื่อเห็นว่าไม่มีผู้อื่นอยู่ในบริเวณนั้นมากกว่าจำเลยทั้งสามจะไปดูภาพยนตร์ดังที่กล่าวอ้าง พยานโจทก์ที่นำสืบมีน้ำหนักมั่นคงเพียงพอที่จะฟังว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 3 กระทำผิดตามฟ้องด้วยพยานจำเลยที่ 1 ที่ 2 ไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง การที่จำเลยทั้งสามส่งจดหมายข่มขู่เรียกเอาเงินจากผู้เสียหายจำนวน 25,000 บาท หากขัดขืนจะทำการระเบิดร้านค้าของผู้เสียหายให้พังพินาศ แต่ผู้เสียหายไม่ยอมให้เงินหรือยอมรับว่าจะให้เงินแก่จำเลยทั้งสามตามที่เรียกร้องนั้น ถือได้ว่าจำเลยทั้งสามได้ลงมือกระทำความผิดไปโดยตลอดแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผลการกระทำของจำเลยทั้งสามจึงเป็นความผิดฐานพยายามกรรโชกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 80, 83 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นว่ายังไม่ถูกต้อง แม้จำเลยที่ 1ที่ 2 ไม่ได้ฎีกาในปัญหาข้อนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้เพราะเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 3 ซึ่งไม่ได้ฎีกาด้วย เพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี อีกทั้งเห็นสมควรระบุวรรคของบทความผิดและบทลงโทษที่ศาลล่างทั้งสองมิได้ระบุไว้เสียให้ชัดแจ้งด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337 วรรคหนึ่ง ประกอบด้วยมาตรา 80, 83 ให้จำคุกคนละ1 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์