คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3510/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้มาตรา 156 วรรคท้าย แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งจะบัญญัติว่า การอุทธรณ์คำสั่งให้ยื่นคำขอเป็นคำร้อง และจำเลยทั้งสี่อุทธรณ์คำสั่งมาในรูปแบบคำฟ้องอุทธรณ์คำสั่งแต่ตามเนื้อหาในอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้โดยชัดแจ้งทั้งได้ชำระค่าขึ้นศาลมาเป็นจำนวนถึง 200 บาท ซึ่งเกินกว่าที่จะต้องชำระในรูปแบบของคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง ดังนั้นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม จึงให้รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสี่ไว้พิจารณา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินให้โจทก์จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์และยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาชั้นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นฟังว่าไม่มีเหตุผลอันสมควรที่จะอุทธรณ์ยกคำร้อง จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องขอดำเนินคดีอนาถา ศาลชั้นต้นสั่งว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคท้าย การอุทธรณ์คำสั่งกรณีเช่นนี้ต้องทำคำขอเป็นคำร้องไม่ใช่ทำเป็นรูปอุทธรณ์จึงไม่รับ
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์ ขอให้รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสี่
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จำเลยทั้งสี่จะอุทธรณ์คำสั่งมาในรูปแบบคำฟ้องอุทธรณ์คำสั่งซึ่งเป็นการผิดไปจากรูปแบบหรือข้อความที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย ก็ตาม แต่ตามเนื้อหาในอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจำเลยทั้งสี่ก็ได้โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้โดยชัดแจ้งแล้ว ทั้งได้ชำระค่าขึ้นศาลมาเป็นจำนวนเงินถึง 200 บาท ซึ่งเกินกว่าที่จะต้องชำระในรูปแบบของคำร้องอุทธรณ์คำสั่งที่จะต้องชำระเป็นค่าคำร้องเพียง 40 บาทเท่านั้น ดังนั้นเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมจึงเห็นสมควรให้รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสี่ไว้เพื่อให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาดำเนินการต่อไปตามรูปคดี
พิพากษากลับว่า ให้รับอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยทั้งสี่ไว้และให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป

Share