แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตหรือไม่สุจริตตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1312 วรรคแรก และวรรค 2 นั้น หมายถึงการที่สร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนหรือเป็นที่ดินของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้หรือไม่ หากสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนหรือเป็นของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้ ก็เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต แต่ถ้าสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปโดยทราบอยู่แล้วว่าที่ดินที่ตนสร้างรุกล้ำเข้าไปนั้นไม่ใช่ของตนหรือของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้แล้วก็เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริต
ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมื่อจำเลยปลูกสร้างตึกของจำเลยสุดเขตที่ดินของจำเลยแล้วยังมีที่ว่างระหว่างตึกของจำเลยกับตึกของโจทก์ประมาณ 3 เซนติเมตร และจำเลยทราบแล้วว่าที่ว่างดังกล่าวเป็นที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยก็ยังฉาบปูนผนังตึกของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์จนจดผนังตึกของโจทก์ ดังนี้ ย่อมถือว่าจำเลยสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1312 วรรค 2 โจทก์มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรื้อถอนตึกของจำเลยส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ออกจากที่ดินของโจทก์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ปลูกสร้างตึก ๓ ชั้นในที่ดินของจำเลยซึ่งอยู่ติดที่ดินของโจทก์โดยขุดดินทำฐานรากชิดตึกของโจทก์ แล้วหล่อเสาคอนกรีตและก่อกำแพงอิฐเพื่อก่อสร้างอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กอันเป็นการบรรทุกน้ำหนักจนเกิดอันตรายแก่ตึกของโจทก์ เป็นเหตุให้ตึกของโจทก์ซึ่งปลูกตื้นกว่าฐานรากที่จำเลยก่อสร้างทรุด และพื้นซีเมนต์ชั้นล่างแตกตลอดแนว ผนังกำแพงแตกหลายแห่งพื้นบนทรุดและหน้าต่างเปิดตามปกติไม่ได้ หลังคาแตกร้าว ทั้งยังได้ปลูกสร้างอาคารบางส่วน เช่นกันสาดและผนังกั้นอาคารชั้นสองและชั้นสามรุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ และทำหน้าต่างอาคารชั้นสามให้บานหน้าต่างรุกล้ำเข้ามาในเขตเหนือที่ดินของโจทก์ตึกของโจทก์เสียหายไม่สามารถซ่อมแซมให้กลับคืนดีเช่นเดิมได้ จะต้องรื้อแล้วปลูกสร้างใหม่ทั้งหลังเป็นเงิน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๑๐๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้ก่อสร้างรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์มิได้ทำให้น้ำหนักบรรทุกจนเกิดอันตรายแก่ตึกของโจทก์ ตึกของโจทก์ปลูกสร้างมาประมาณ ๓๐-๔๐ ปี และมิได้ปลูกสร้างให้ถูกต้องตามแบบทั้งโจทก์ให้บริวารอาศัยรับซื้อของป่าและเก็บสินค้าต่าง ๆ ที่มีน้ำหนักมากมาช้านานแล้วความเสียหายของตึกของโจทก์ จึงเกิดจากโจทก์และบริวารขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตึกของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์เฉพาะส่วนของผนังตึกส่วนที่เหนือจากพื้นดินขึ้นไป ประมาณ ๔ เมตรแต่เป็นการกระทำโดยสุจริต โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้รื้อถอนส่วนที่รุกล้ำนี้พยานหลักฐานของโจทก์ยังฟังไม่ได้ว่าตึกของโจทก์แตกร้าวชำรุดเพราะเหตุที่จำเลยปลูกสร้างตึกของจำเลย คงฟังได้เพียงว่าคนงานของจำเลยเหยียบหลังคาครัวของโจทก์เสียหาย ๒๐๐ บาท พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๒๐๐ บาท คำขอของโจทก์นอกจากที่กล่าวแล้วให้ยกเสีย
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยฟังว่า จำเลยได้ปลูกสร้างตึกของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ โดยจำเลยได้ฉาบปูนผนังตึกของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ๒-๓ เซนติเมตร จนถึงผนังตึกของโจทก์
ในปัญหาที่ว่าจำเลยได้ปลูกสร้างตึกของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์โดยสุจริตหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่บุคคลใดสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริตหรือไม่สุจริตตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๒ วรรคแรกและ วรรค ๒ นั้น หมายถึงการที่สร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนหรือเป็นที่ดินของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้หรือไม่ หากสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยเข้าใจว่าเป็นที่ดินของตนหรือเป็นที่ดินของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้ ก็เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยสุจริต แต่ถ้าสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยทราบอยู่แล้วว่าที่ดินที่ตนสร้างรุกล้ำเข้าไปนั้น ไม่ใช่ที่ดินของตนหรือที่ดินของผู้อื่นที่ตนมีสิทธิสร้างโรงเรือนได้แล้ว ก็เป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริต สำหรับกรณีนี้ปรากฏจากข้อนำสืบของจำเลยว่า เมื่อจำเลยปลูกสร้างตึกของจำเลยสุดเขตที่ดินของจำเลยแล้วยังมีที่ว่างระหว่างตึกของจำเลยกับตึกของโจทก์ประมาณ ๓ เซนติเมตร และจำเลยทราบแล้วว่า ที่ว่างดังกล่าวเป็นที่ดินของโจทก์ แต่จำเลยก็ยังฉาบปูนผนังตึกของจำเลยรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์จนจดผนังตึกของโจทก์ จึงเป็นการสร้างโรงเรือนรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นโดยไม่สุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๑๒ วรรค ๒ ซึ่งโจทก์มีสิทธิฟ้องให้จำเลยรื้อถอนตึกของจำเลยส่วนที่รุกล้ำเข้าไปในที่ดินของโจทก์ออกจากที่ดินของโจทก์ได้
ส่วนปัญหาที่ว่ารอยแตกร้าวที่พื้นและผนังตึกของโจทก์เกิดจากการที่จำเลยปลูกสร้างตึกของจำเลยหรือไม่นั้น ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าพยานหลักฐานของโจทก์ฟังไม่ได้ว่าเกิดจากการที่จำเลยปลูกสร้างตึกของจำเลย
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยรื้อถอนผนังตึกของจำเลยส่วนที่รุกล้ำที่ดินของโจทก์ออกจากที่ดินของโจทก์