แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อฎีกาของจำเลยไม่มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทหรือไม่ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะขออ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อประสงค์จะให้ปรากฏข้อเท็จจริง ต่อศาลฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทแล้ว และกรณีไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องสืบพยานต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240(2)ประกอบด้วยมาตรา 247 และมาตรา 88 วรรคสาม จำเลยจึงอ้างพยานเพิ่มเติมอีกไม่ได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิการเช่าตึกสองชั้น 1 ห้องของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และได้ให้บุตรอยู่อาศัยบุตรโจทก์ได้ให้จำเลยทั้งสองเข้ามาอาศัยด้วย ต่อมาบุตรโจทก์ปลอมหนังสือมอบอำนาจโอนใส่ชื่อตนเองเป็นผู้เช่าแล้วไปยื่นคำขอโอนสิทธิการเช่าให้บุคคลที่ 3 โจทก์ได้ฟ้องศาลสั่งระงับการโอนสิทธิการเช่าแล้วและเป็นฝ่ายชนะคดี บุตรโจทก์ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่จำเลยทั้งสองยังคงอยู่ในตึกพิพาท จึงฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยอยู่ในตึกพิพาทโดยจำเลยได้ให้เงินโจทก์เป็นการตอบแทนจำนวน 210,000 บาท โดยโจทก์ตกลงให้จำเลยประกอบการค้าได้เป็นเวลา 30 ปี โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยและถือว่าโจทก์ผิดข้อตกลงจึงฟ้องแย้งให้โจทก์คืนเงิน 210,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยด้วย ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การว่าอยู่ในตึกพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นมารดา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกจากตึกพิพาทห้ามเกี่ยวข้อง ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ให้จำเลยที่ 1 อยู่ในตึกพิพาท แต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์รับเงินจากจำเลยที่ 1 เป็นค่าตอบแทนที่จำเลยอยู่ในตึกพิพาทดังที่จำเลยที่ 1 ต่อสู้ และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เจ้าของตึกพิพาทได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้ว และได้ทำสัญญาให้จำเลยทั้งสองเช่าแทน จำเลยที่ 1 จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ ขออ้างและสืบพยานเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว แต่ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องโดยให้เหตุผลว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยเพิ่งหยิบยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์ มิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ไม่เป็นปัญหาพึงวินิจฉัย ซึ่งจำเลยที่ 1 เห็นว่า พยานที่จำเลยที่ 1ขออ้างเพิ่มเติมได้มีขึ้นในภายหลังไม่อาจยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแต่ต้นได้ จึงขอให้ศาลฎีกาสั่งให้รับสัญญาเช่าดังกล่าวหรือสืบพยานเพิ่มเติมนั้น เห็นว่า ที่จำเลยที่ 1 ประสงค์จะอ้างพยานเพิ่มเติมดังกล่าวก็โดยมุ่งประสงค์ที่จะให้ปรากฏข้อเท็จจริงต่อศาลฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทแล้วซึ่งปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทหรือไม่นั้น ไม่เป็นปัญหาที่จำเลยที่ 1 ฎีกาขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่มีเหตุที่จำเลยที่ 1 จะอ้างพยานเพิ่มเติมตามที่ขอได้ และกรณีไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องสืบพยานต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240(2) ประกอบด้วยมาตรา247 และมาตรา 88 วรรคสาม ฎีกาของจำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.