คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3502/2532

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อฎีกาของจำเลยไม่มีประเด็นว่าโจทก์มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทหรือไม่ จึงไม่มีเหตุที่จำเลยจะขออ้างพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาเพื่อประสงค์จะให้ปรากฏข้อเท็จจริงต่อศาลฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทแล้ว และกรณีไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องสืบพยานต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 240 (2) ประกอบด้วยมาตรา 247 และมาตรา 88 วรรคสาม จำเลยจึงอ้างพยานเพิ่มเติมอีกไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของสิทธิการเช่าตึกสองชั้น ๑ ห้องของสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และได้ให้บุตรอยู่อาศัย บุตรโจทก์ได้ให้จำเลยทั้งสองเข้ามาอาศัยด้วย ต่อมาบุตรโจทก์ปลอมหนังสือมอบอำนาจโอนใส่ชื่อตนเองเป็นผู้เช่าแล้วไปยื่นคำขอโอนสิทธิการเช่าให้บุคคลที่ ๓ โจทก์ได้ฟ้องศาลสั่งระงับการโอนสิทธิการเช่าแล้วและเป็นฝ่ายชนะคดี บุตรโจทก์ย้ายออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่จำเลยทั้งสองยังคงอยู่ในตึกพิพาท จึงฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสอง
จำเลยที่ ๑ ให้การว่า จำเลยอยู่ในตึกพิพาทโดยจำเลยได้ให้เงินโจทก์เป็นการตอบแทนจำนวน ๒๑๐,๐๐๐ บาท โดยโจทก์ตกลงให้จำเลยประกอบการค้าได้เป็นเวลา ๓๐ ปี โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยและถือว่าโจทก์ผิดข้อตกลงจึงฟ้องแย้งให้โจทก์คืนเงิน ๒๑๐,๐๐๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยแก่จำเลยด้วย ส่วนจำเลยที่ ๒ ให้การว่าอยู่ในตึกพิพาทโดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นมารดา
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกจากตึกพิพาทห้ามเกี่ยวข้อง ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๑
จำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ อยู่ในตึกพิพาท แต่ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่า โจทก์รับเงินจากจำเลยที่ ๑ เป็นค่าตอบแทนที่จำเลยอยู่ในตึกพิพาทดังที่จำเลยที่ ๑ ต่อสู้ และวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาว่า ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เจ้าของตึกพิพาทได้บอกเลิกสัญญากับโจทก์แล้ว และได้ทำสัญญาให้จำเลยทั้งสองเช่าแทน จำเลยที่ ๑ จึงได้ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ ขออ้างและสืบพยานเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว แต่ศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องโดยให้เหตุผลว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยเพิ่งหยิบยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์ มิได้หยิบยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลชั้นต้น ไม่เป็นปัญหาพึงวินิจฉัย ซึ่งจำเลยที่ ๑ เห็นว่า พยานที่จำเลยที่ ๑ขออ้างเพิ่มเติมได้มีขึ้นในภายหลังไม่อาจยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแต่ต้นได้ จึงขอให้ศาลฎีกาสั่งให้รับสัญญาเช่าดังกล่าวหรือสืบพยานเพิ่มเติมนั้น เห็นว่า ที่จำเลยที่ ๑ ประสงค์จะอ้างพยานเพิ่มเติมดังกล่าวก็โดยมุ่งประสงค์ที่จะให้ปรากฏข้อเท็จจริงต่อศาลฎีกาว่าโจทก์ไม่มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทแล้วซึ่งปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิการเช่าในตึกพิพาทหรือไม่นั้น ไม่เป็นปัญหาที่จำเลยที่ ๑ ฎีกาขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่มีเหตุที่จำเลยที่ ๑ จะอ้างพยานเพิ่มเติมตามที่ขอได้ และกรณีไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องสืบพยานต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๐ (๒) ประกอบด้วยมาตรา ๒๔๗ และมาตรา ๘๘ วรรคสาม ฎีกาของจำเลยที่ ๑ ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share