แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงมิใช่การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตาม มาตรา 226 เมื่อโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่ง โจทก์จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์
เมื่อโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิเข้าร่วมเดินรถ ตามประกาศของจำเลยลงวันที่ 11 มิถุนายน 2520 และจำเลยโต้แย้งว่าได้มีการแก้ไขระเบียบการ ตามประกาศลงวันที่ 16 มิถุนายน 2521 กำหนดให้เมื่อจำเลยตกลงรับรถเมล์เล็กเข้าวิ่งร่วมแล้ว จะต้องมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรต่อกันอีกชั้นหนึ่งเพื่อกำหนดความรับผิดชอบซึ่งกันและกัน การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ยังมิได้ปฏิบัติตามประกาศของจำเลยฉบับลงวันที่ 16 มิถุนายน 2521 จึงเป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีโดยตรง หาใช่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นแต่ประการใดไม่ มิใช่พิจารณาแต่คำฟ้องเท่านั้นแต่ต้องพิจารณาคำให้การจำเลยและคำแถลงรับของคู่ความด้วย
ย่อยาว
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่อาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยฐานผิดสัญญาได้ และจะพิจารณาในเรื่องละเมิดมิได้ เพราะโจทก์มิได้ตั้งประเด็นไว้ พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไปแล้วพิพากษาใหม่ จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ว่า ตามระเบียบว่าด้วยการรับรถยนต์โดยสารขนาดเล็กเข้าร่วมหมาย ล.1 ข้อ 5.4 ถ้ามีการตกลงรับรถร่วมแล้ว เจ้าของรถจะต้องทำสัญญากับจำเลยต่อไป โจทก์ยังมิได้ปฏิบัติตามระเบียบที่จำเลยกำหนด สัญญาเดินรถร่วมระหว่างโจทก์จำเลยยังไม่เกิดขึ้น โจทก์ยังไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหาย คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นดังกล่าว จึงไม่ใช่การวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 คำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยาน เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาตามมาตรา 226 แม้โจทก์จะแถลงขอสืบพยานในประเด็นต่าง ๆ รวม 5 ประเด็นไว้ตามรายงานกระบวนพิจารณา ลงวันที่ 22 กรกฎาคม 2523 แต่เมื่อศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานแล้ว โจทก์มิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น อุทธรณ์โจทก์จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ส่วนที่ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ศาลชั้นต้นวินิจฉัยนอกประเด็น เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณานั้น ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นในการชี้สองสถานไว้ข้อหนึ่งว่า การกระทำของจำเลยก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ การวินิจฉัยประเด็นข้อนี้ มิใช่จะวินิจฉัยจากคำฟ้องแต่เพียงอย่างเดียวดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย แต่จะต้องพิจารณาถึงคำให้การของจำเลยและคำแถลงรับของคู่ความด้วย เมื่อโจทก์อ้างว่าโจทก์มีสิทธิเข้าร่วมเดินรถตามประกาศของจำเลยลงวันที่ 11 มิถุนายน 2520 และจำเลยโต้แย้งว่าได้มีการแก้ไขระเบียบการตามประกาศลงวันที่ 16 มิถุนายน 2521 ตามประกาศฉบับนี้ ข้อ 5.4 เมื่อจำเลยตกลงรับรถเมล์เล็กเข้าวิ่งร่วมด้วยแล้ว จะต้องมีการทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรต่อกันอีกชั้นหนึ่งเพื่อกำหนดความรับผิดชอบซึ่งกันและ การที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ยังมิได้ปฏิบัติตามประกาศของจำเลยฉบับลงวันที่ 16 มิถุนายน 2521 ซึ่งบังคับว่าเจ้าของรถเมล์เล็กต้องทำสัญญากับจำเลยเป็นลายลักษณ์อักษรก่อนจึงจะมีผลผูกพันกันนั้น เป็นการวินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีโดยตรง หาใช่วินิจฉัยนอกประเด็นดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป เป็นการไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา เมื่ออุทธรณ์โจทก์เป็นอุทธรณ์ที่ต้องห้ามแล้วคดีก็ถึงที่สุดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้รวม 7,000 บาท”