คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 35/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยทำร้ายร่างกายผู้ตายเนื่องจากโกรธที่ผู้ตายปัสสาวะรดที่นอนจำเลยไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตายคงมีเจตนาทำร้ายเท่านั้นเมื่อการทำร้ายของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเจตนาฆ่าเด็กหญิงเนติมา จำปาวงษ์ อายุ 3 ปี 1 เดือน โดยใช้ที่ฉีดน้ำชำระฉีดพุ่งใส่ใบหน้าและศีรษะของเด็กหญิงเนติมาอย่างแรงหลายครั้งแล้วจับศีรษะของเด็กหญิงเนติมากดลงในโถส้วมซึ่งมีน้ำขังอยู่จนเด็กหญิงเนติมาหมดสติไปจากนั้นจำเลยใช้กำปั้นทุบที่ท้องและบีบท้องเด็กหญิงเนติมาอย่างแรง แล้วนำเด็กหญิงเนติมามาวางพาดบนโถส้วมแล้วใช้ฝาโถส้วมกดทับที่บริเวณท้องอย่างแรง เป็นเหตุให้เด็กหญิงเนติมาได้รับอันตรายถึงตับแตก ขั้วล้ำไส้ฉีกขาด และถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลย ชั้นสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่ากระทำไปด้วยความประมาท

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต แต่คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา เห็นสมควรลดโทษให้จำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 คงลงโทษจำคุก 33 ปี 4 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้เป็นยุติว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยใช้กำลังทำร้ายร่างกายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาหรือไม่ ในการวินิจฉัยว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าหรือไม่นั้น ข้อเท็จจริงจะต้องได้ความชัดว่าจำเลยมีเจตนากระทำการเพื่อฆ่าโดยพิเคราะห์ พฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยยิ่งกว่าบาดแผลที่ผู้ตายได้รับ ข้อเท็จจริงจากบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของนางรัชดาพรรณและของจำเลยตามเอกสารหมาย จ.6 และ จ.11 ได้ความตรงกันว่านางรัชดาพรรณและจำเลยพักอาศัยอยู่ในห้องที่เกิดเหตุมาตั้งแต่ปี 2541 โดยมีความสัมพันธ์เหมือนสามีภริยากัน (คือหญิงอยู่กับหญิงด้วยกันแบบสามีภริยา) ต่อมาในปี2542 นางรัชดาพรรณไปรับผู้ตายมาอยู่ด้วย ในระหว่างที่อยู่กินด้วยกันไม่ปรากฏว่านางรัชดาพรรณและจำเลยมีสาเหตุโกรธเคืองกันอีกทั้งไม่ปรากฏเช่นกันว่าจำเลยเกลียดชังผู้ตาย แต่กลับได้ความจากคำเบิกความของนางรัชดาพรรณว่าในช่วงแรกจำเลยรักใคร่เลี้ยงดูผู้ตายอย่างดีแต่ภายหลังผู้ตายมักจะทำสิ่งของเลอะเทอะจำเลยเพียงแต่บ่นว่าไม่ชอบและเฆี่ยนตีผู้ตายในลักษณะสั่งสอนและตำหนินางรัชดาพรรณว่าเลี้ยงดูบุตรไม่เป็น เหตุคดีนี้เกิดขึ้นภายหลังจากนางรัชดาพรรณ จำเลย และผู้ตายตื่นนอน สาเหตุที่ทำร้ายสืบเนื่องมาจากการที่ผู้ตายปัสสาวะรดที่นอนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยปัจจุบันจากสาเหตุเพียงเท่านี้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรงไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จำเลยถึงกับจะคิดฆ่าผู้ตายขณะเกิดเหตุจำเลยและผู้ตายอยู่ในห้องน้ำ ถ้อยคำที่จำเลยพูดกับผู้ตายตามที่นางรัชดาพรรณได้ยินเป็นต้นว่า “นี่จะจำได้หรือยัง ที่ฉี่ที่เยี่ยวอยู่ตรงนี้” “ทีหลังจะฉี่อีกไหมจะจำได้หรือยัง” ส่อไปในทำนองว่าจำเลยมีอารมณ์โกรธพูดขู่บังคับให้ผู้ตายจดจำสิ่งที่ตนบอก มิได้ส่อไปในทางที่จำเลยมีความเคียดแค้นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้ตายแต่อย่างใด แม้นางรัชดาพรรณเบิกความว่าเวลาที่จำเลยหงุดหงิดและโมโหจะทำโทษผู้ตายจำเลยเคยพูดว่า “ฆ่าเสียให้ตายดีไหม” ก็ตาม จะถือเอาเป็นจริงตามคำพูดนั้นหาได้ไม่ขณะเกิดเหตุโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานรู้เห็นจึงไม่ได้ความชัดแจ้งว่าจำเลยได้กระทำต่อผู้ตายอย่างไรบ้าง แต่จากคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนและการนำชี้สถานที่เกิดเหตุประกอบคำรับสารภาพปรากฏว่าจำเลยใช้อารมณ์ลงโทษผู้ตายอย่างรุนแรงโดยการกดศีรษะผู้ตายในโถส้วมซึ่งมีน้ำจากสายยางชำระที่จำเลยฉีดไปที่ศีรษะผู้ตายเอ่อล้นขึ้นมา และจากการกระทำของจำเลยดังกล่าวเชื่อว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ตายสำลักน้ำแล้วหมดสติไปเมื่อเป็นเช่นนี้ คงด้วยความตกใจหรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของจำเลยจึงปรากฏข้อเท็จจริงตามคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนอีกว่าจำเลยใช้มือขยุ้มท้องและใช้กำปั้นทุบท้องผู้ตาย อีกทั้งนำผู้ตายพาดบนโถส้วมแล้วใช้ฝาโถส้วมกดทับท้องผู้ตายซึ่งการกระทำของจำเลยดังกล่าวพอเข้าใจได้ว่าจำเลยพยายามจะรีดน้ำให้ออกจากท้องผู้ตายนั่นเอง จึงน่าจะเป็นสาเหตุที่ทำให้อวัยวะภายในช่องท้องของผู้ตายได้รับความกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงตามรายงานการตรวจศพ พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีเหตุผลและน้ำหนักฟังได้เพียงว่าจำเลยทำร้ายร่างกายผู้ตายจริงเนื่องจากโกรธที่ผู้ตายปัสสาวะรดที่นอน แต่เมื่อทางนำสืบของโจทก์ไม่ปรากฏมูลเหตุที่แน่ชัดในอันที่จะจูงใจให้จำเลยฆ่าผู้ตายแล้ว พฤติการณ์แห่งการกระทำของจำเลยจึงไม่อาจถือได้ว่าจำเลยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากเกิดเหตุแล้วปรากฏว่า จำเลยยังช่วยนางรัชดาพรรณพาผู้ตายไปหาแพทย์ และเมื่อทราบว่าผู้ตายถึงแก่ความตายแล้วจำเลยเป็นผู้ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลสุทธิสารมิได้หลบหนีแต่อย่างใด แสดงให้เห็นเจตนาของจำเลยอย่างแท้จริงว่า ไม่มีเจตนาฆ่าผู้ตายคงเพียงแต่มีเจตนาทำร้ายเท่านั้น เมื่อการทำร้ายของจำเลยเป็นเหตุให้เกิดการกระทบกระเทือนอวัยวะภายในร่างกายของผู้ตายอย่างรุนแรงจนผู้ตายถึงแก่ความตาย ความตายจึงเป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลย จำเลยจึงมีความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290วรรคหนึ่ง จำคุก 12 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก8 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share