แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
ปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดค่าสินไหมทดแทนต่อโจทก์ในเหตุที่จำเลยนำเครื่องบินของโจทก์ขึ้นฝึกบินโดยประมาทจนเป็นเหตุให้เครื่องบินตกมากน้อยเพียงใดให้คิดคำนวณราคาทรัพย์เพื่อชดใช้แทนตั้งแต่เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคาในขณะเกิดเหตุละเมิด ด้วยเหตุนี้การคิดมูลค่าของเครื่องบินจึงต้องคิดจากราคาในขณะเกิดเหตุละเมิดไม่ใช่คิดจากราคาซื้อเดิม นอกจากนี้เครื่องบินเป็นทรัพย์สินที่เสื่อมราคาเพราะการใช้งานจึงต้องคิดค่าเสื่อมราคาด้วย ดังนั้น ค่าเสียหายที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะทำให้เครื่องบินของโจทก์ตกโดยประมาทคือราคาเครื่องบินขณะเกิดเหตุหลังจากหักค่าเสื่อมราคาแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของเครื่องบิน (HS-TCC) ราคา 3,611,551 บาทจำเลยเป็นนักเรียนการบินของโจทก์ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2535 จำเลยกระทำโดยประมาทปราศจากความระมัดระวัง นำเครื่องบินดังกล่าวของโจทก์ขึ้นทำการฝึกบินโดยไม่ได้ขออนุญาตและไม่ได้รับอนุญาตจากครูการบิน ทั้งไม่ได้ตรวจตราความสมบูรณ์เรียบร้อยของเครื่องบิน ไม่ได้ตรวจน้ำมันเชื้อเพลิงว่ามีเพียงพอสำหรับการฝึกบินในครั้งนี้หรือไม่ กับขณะฝึกบินจำเลยไม่ได้ดูมาตรวัดน้ำมันเชื้อเพลิงบนเครื่องบินว่ามีน้ำมันเชื้อเพลิงพอที่จะบินต่อไปได้หรือไม่ จำเลยทำการบินจนน้ำมันเชื้อเพลิงในถังด้านขวาหมดทำให้เครื่องยนต์ดับเป็นเหตุให้เครื่องบินตกได้รับความเสียหายไม่สามารถซ่อมแซมได้ เป็นการละเมิดต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 3,611,551 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 3,967,475.92 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี จากต้นเงิน 3,611,551 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า จำเลยนำเครื่องบินลำเกิดเหตุขึ้นทำการฝึกบินเดี่ยวในชั่วโมงการเรียนการสอนตามปกติ โดยจำเลยได้ตรวจตราความสมบูรณ์เรียบร้อยของเครื่องบินและน้ำมันเชื้อเพลิงในเครื่องบิน พบว่าขณะนั้นเครื่องบินใช้น้ำมันในถังปีกด้านซ้ายซึ่งมีปริมาณพอเพียงที่จะบินได้ประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วจำเลยได้ลงชื่อในสมุดสั่งการบินและขออนุญาตหอบังคับการบินตามวิธีการที่เคยปฏิบัติ แต่ไม่ได้บอกกล่าวแก่นายจิระทองเพชร ครูฝึกประจำตัวก่อนเนื่องจากจำเลยเป็นศิษย์การบินที่ครูฝึกไว้ใจ เมื่อจำเลยนำเครื่องบินขึ้นฝึกบินประมาณ 1 ชั่วโมง เครื่องยนต์มีอาการสะดุดและดับ จำเลยตรวจสอบระบบทุกอย่างแล้วเห็นว่าปกติ แต่ไม่ได้ตรวจสอบถังน้ำมันเชื้อเพลิงจนกระทั่งเครื่องบินตก นอกจากนี้สภาบริหารคณะปฏิวัติมีมติเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2515 อนุมัติให้นักบิน ครูการบิน และนักศึกษาของกรมการบินพาณิชย์ไม่ต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากอากาศยานตกหรือเสียหายในทุกกรณีต่อทางราชการและบุคคลที่สามนับแต่เครื่องยนต์ถูกติดขึ้นจนถูกดับลงและระเบียบศูนย์ฝึกการบินพลเรือนในประเทศไทย ว่าด้วยเรื่องการฝึกบินของผู้ประจำหน้าที่อากาศยาน พ.ศ. 2535 ฉบับที่ 1ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2535 มิได้กำหนดให้ต้องชดใช้ค่าเสียหาย เครื่องบินที่เสียหายหากนำมาซ่อมแซมแล้วคงใช้การได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 1,812,437 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์จำนวน1,812,437.10 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์สมควรได้รับค่าเสียหายตามจำนวนที่ฟ้องหรือไม่ เพียงใด โจทก์มีนางวัลนา วังสงค์ นักบัญชี 5 สำนักบัญชีและตรวจสอบภายใน กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง เบิกความเป็นพยานว่า พยานได้รับมอบหมายให้คำนวณความเสียหายของเครื่องบินลำเกิดเหตุโดยคำนวณจากรายการทรัพย์สินที่โจทก์ส่งมายังกระทรวงการคลัง คำนวณแล้วทำรายการไว้ตามเอกสารหมาย ป.จ.9 ของศาลแพ่ง เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438วรรคสอง บัญญัติไว้ว่า ค่าสินไหมทดแทนนั้น ได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปเพราะละเมิดหรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหายอันจะพึงบังคับให้ใช้เพื่อความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อขึ้นนั้นด้วยสำหรับการคำนวณราคาทรัพย์เพื่อชดใช้แทนนั้น เวลาอันเป็นฐานที่ตั้งแห่งการกะประมาณราคาได้แก่เวลาขณะเกิดเหตุละเมิดส่วนมูลค่าของเครื่องบินนั้นตามบันทึกข้อความเอกสารหมาย ป.จ.9 ของศาลแพ่ง แม้โจทก์ซื้อเครื่องบินลำเกิดเหตุมาเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2533 ในราคา 3,899,087 บาท แต่ขณะเกิดเหตุเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2538 โจทก์อ้างว่าเครื่องบินเช่นลำเกิดเหตุมีราคาลำละ 4,717,898 บาท โดยจำเลยไม่นำสืบโต้แย้งให้เห็นเป็นอย่างอื่น แสดงว่าเครื่องบินซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์ย่อมมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย แต่เนื่องจากเครื่องบินเป็นทรัพย์สินที่เสื่อมราคาเพราะการใช้ ช่วงเวลา 1 ปี 9 เดือน ของการใช้งาน นางวัลนาคำนวณค่าเสื่อมราคาได้ 1,106,347 บาท ฉะนั้น การคำนวณราคาจึงต้องคิดฐานที่ตั้งจากราคา 4,717,898 บาท ซึ่งเป็นราคาในขณะเกิดเหตุละเมิดไม่ใช่คิดจากราคาซื้อเดิมดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย สำหรับซากเครื่องบินที่มีอยู่ที่โจทก์ประเมินราคาไว้1,172,314 บาท นั้น แม้เป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าแต่ไม่ใช่ทรัพย์สินที่โจทก์ประสงค์จะได้เนื่องจากตามสภาพของความเป็นจริง เป็นการยากที่จะนำไปใช้งานซ่อมแซมเครื่องบินโจทก์ลำที่เหลืออยู่ ชอบที่จะต้องปฏิบัติตามสำเนาหนังสือสำนักนายกรัฐมนตรี สร 1001/ว 32 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2525 เอกสารหมาย ป.จ.11 ของศาลแพ่ง คือให้จำเลยรับซากเครื่องบินนั้นไปหลังจากที่ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ครบถ้วนแล้ว ที่ศาลล่างทั้งสองนำราคาซากเครื่องบินดังกล่าวหักออกจากราคาเครื่องบินที่จำเลยจะต้องชดใช้ก่อนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย นางวัลนา เป็นข้าราชการสังกัดกระทรวงการคลัง ไม่ได้สังกัดโจทก์ คิดคำนวณราคาตามหลักเกณฑ์ที่ระเบียบกำหนด จำเลยไม่ได้นำสืบโต้แย้งการคิดคำนวณของนางวัลนาและทางนำสืบของโจทก์ในประเด็นเรื่องค่าเสียหาย จึงฟังได้ว่าเครื่องบินโจทก์ลำเกิดเหตุมีราคาขณะเกิดเหตุ 4,717,898 บาท เมื่อหักค่าเสื่อมราคา 1,106,347 บาท ค่าเสียหายจึงเท่ากับ 3,611,551 บาท โจทก์สมควรได้รับชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ดังกล่าว ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงินจำนวน 3,611,551 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เมื่อจำเลยชำระเงินเสร็จสิ้นแล้วให้จำเลยมีสิทธิรับซากเครื่องบินทั้งหมดคืนจากโจทก์