คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3491/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ลูกจ้างซึ่งถูกเลิกจ้างอันเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฯ มาตรา 121 ย่อมเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2 (4) มีสิทธิฟ้องนายจ้างให้รับผิดทางอาญาตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ฯ มาตรา 158 ได้ เมื่อได้ปฏิบัติตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฯ กำหนดไว้แล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัท จำกัด มีจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นกรรมการผู้มีอำนาจทำการแทน โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยทั้งสามและเป็นกรรมการเลขานุการสหภาพแรงงานสยามอินเตอร์คอนติเนนตัล เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๒๐ จำเลยมีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ อ้างว่าไม่ไว้วางใจในความประพฤติของโจทก์ โจทก์จึงยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่าจำเลยกระทำการอันไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำสั่งที่ ๑๑๐/๒๕๒๐ ลงวันที่ ๑๓ ธันวาคม ๒๕๒๐ ว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมและให้รับโจทก์กลับเข้าทำงานพร้อมทั้งจ่ายค่าจ้างให้โจทก์เท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้ายก่อนเลิกจ้างตั้งแต่วันเลิกจ้างจนถึงวันรับโจทก์กลับเข้าทำงานภายในกำหนด ๑๕ วัน นับแต่วันที่จำเลยทราบคำสั่ง ซึ่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แจ้งคำสั่งให้จำเลยทราบตั้งแต่วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๒๐ ต่อมาวันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๒๑ โจทก์ไปพบจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เพื่อขอกลับเข้าทำงานตามคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์แต่จำเลยปฏิเสธไม่ยอมรับโจทก์กลับเข้าทำงาน อันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย เหตุเกิดที่แขวงปทุมวัน เขตปทุมวันกรุงเทพมหานคร ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๑ และมาตรา ๑๕๘
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า ฟ้องของโจทก์มีมูลให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา
จำเลยที่ ๒ ไม่มาศาล ศาลชั้นต้นออกหมายจับไม่ได้ตัวจำเลยที่ ๒ มาพิจารณาจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีชั่วคราวเฉพาะจำเลยที่ ๒
จำเลยที่ ๓ ให้การปฏิเสธ
จำเลยที่ ๑ ยื่นใบแต่งทนายไว้แต่ยังมิได้ยื่นคำให้การต่อศาลเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ โจทก์ จำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๓ แถลงรับข้อเท็จจริงว่าบริษัทจำเลยที่ ๑ ประกอบธุรกิจโรงแรมสยามอินเตอร์คอนติเนนตัล ได้มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ให้เหตุผลว่าไม่ไว้วางใจในหน้าที่และความประพฤติของโจทก์ โจทก์ไปร้องเรียนต่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ว่า จำเลยที่ ๑ ให้โจทก์ออกจากงานโดยเหตุอันไม่เป็นธรรม คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์มีคำวินิจฉัยชี้ขาดว่า การเลิกจ้างดังกล่าวเป็นการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามมาตรา ๑๒๑ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และสั่งให้จำเลยที่ ๑ รับโจทก์กลับเข้าทำงานให้ปฏิบัติตามคำสั่งภายใน๑๕ วันนับแต่วันทราบคำสั่ง จำเลยที่ ๑ ทราบคำสั่งวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๒๑ แต่ไม่ยอมปฏิบัติตามเพราะเห็นว่าคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่ถูกต้องและได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์กับโจทก์คดีนี้เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๒๑ เพื่อขอให้ศาลเพิกถอนคำสั่งที่ ๑๑๐/๒๕๒๐ ตามคดีหมายเลขดำที่ ๔๙๕/๒๕๒๑ คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล
ศาลชั้นต้นพิเคราะห์ฟ้องโจทก์ประกอบกับคำแถลงของคู่ความแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ให้งดสืบพยานโจทก์ทั้งสองฝ่ายแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์มิใช่ผู้เสียหายพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่าตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๑๒๑ ห้ามมิให้นายจ้างเลิกจ้างหรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นผลให้ลูกจ้าง ฯลฯ ไม่สามารถทนทำงานอยู่ต่อไปได้ ฯลฯ ซึ่งการกระทำดังกล่าวมีบทลงโทษไว้ตามมาตรา ๑๕๘ แต่การฝ่าฝืนมาตรา ๑๒๑ นี้ ผู้เสียหายจะดำเนินคดีทันทีไม่ได้เพราะมาตรา ๑๒๗ บัญญัติไว้ว่า “การฝ่าฝืนตามมาตรา ๑๒๑ มาตรา ๑๒๒ หรือมาตรา ๑๒๓ จะดำเนินคดีอาญาได้ต่อเมื่อผู้เสียหายเนื่องจากการฝ่าฝืนได้ยื่นคำร้องกล่าวหาผู้ฝ่าฝืนตามมาตรา ๑๒๔ และผู้ถูกกล่าวหาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา ๑๒๕” ซึ่งจากข้อเท็จจริงที่ทั้งสองฝ่ายยอมรับกันฟังได้ว่าเมื่อจำเลยที่ ๑ มีหนังสือเลิกจ้างโจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายตามที่มาตรา ๑๒๔ ระบุไว้เพราะถูกเลิกจ้างก็ได้ยื่นคำร้องกล่าวหาจำเลยที่ ๑ ต่อ คณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ตามมาตรา ๑๒๔ เมื่อคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์วินิจฉัยชี้ขาดตามมาตรา ๑๒๕ แล้วจำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นผู้ถูกกล่าวหาก็หาได้ ปฏิบัติตามคำชี้ขาดของคณะกรรมการแรงงานสัมพันธ์ไม่ ฉะนั้นจึงเห็นได้ว่า โจทก์ได้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายครบถ้วนแล้วและโจทก์เป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงเนื่องจากการเลิกจ้างของจำเลยที่ ๑ อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๒๑ จึงถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒(๔) มีอำนาจฟ้องคดีได้
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นทำการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share