แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันมีหนังสือบอกกล่าวเลิกสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีให้โจทก์ชำระหนี้และบอกกล่าวบังคับจำนองโดยอ้างว่าโจทก์เป็นหนี้ค้างชำระแก่จำเลยทั้งสองทั้งๆที่โจทก์ไม่เคยมีนิติสัมพันธ์กับจำเลยทั้งสองจนหนังสือพิมพ์รายวันลงข่าวเป็นเหตุให้โจทก์และครอบครัวได้รับความเดือดร้อนโดยโจทก์เสื่อมเสียชื่อเสียงและถูกผู้ไม่รู้ข้อเท็จจริงดูหมิ่นขาดความเชื่อถือในสังคมและเพื่อนฝูงในวงราชการหากเป็นความจริงย่อมเป็นละเมิดถือว่าโจทก์ถูกจำเลยที่1โต้แย้งสิทธิแล้วโดยไม่จำเป็นที่โจทก์ต้องถูกจำเลยที่1ฟ้องร้องก่อน โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ภาค1พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตามฟ้องเมื่อศาลอุทธรณ์ภาค1เห็นว่าคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นไม่ถูกต้องและไม่อาจพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีตามคำขอในอุทธรณ์ได้โดยไม่ต้องสืบพยานก็ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้ดำเนินการต่อไปได้โดยโจทก์หาจำต้องมีคำขอให้รับคำฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไปไม่
ย่อยาว
โจทก์ ฟ้อง ขอให้ บังคับ จำเลย ทั้ง สอง ร่วมกัน ชำระ ค่าเสียหายเป็น เงิน 100,000 บาท แก่ โจทก์ พร้อม ด้วย ดอกเบี้ย ใน อัตรา ร้อยละ15 ต่อ ปี
ศาลชั้นต้น ตรวจ คำฟ้อง แล้ว เห็นว่า แม้ จะ ฟังได้ ตาม คำฟ้องของ โจทก์ ว่า จำเลย ได้ มี หนังสือ ถึง โจทก์ อ้างว่า โจทก์ เป็น หนี้ เงินกู้และ ค้ำประกัน แต่ จำเลย ก็ ยัง ไม่ได้ ฟ้องร้อง คดี ต่อ โจทก์ การกระทำดังกล่าว ของ จำเลย ยัง ไม่อาจ ถือได้ว่า สิทธิ และ หน้าที่ ตาม กฎหมายของ โจทก์ ถูก โต้แย้ง จาก จำเลย แล้ว โจทก์ จึง ยัง ไม่มี อำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษายก คำพิพากษา ของ ศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ใหม่ ตาม รูปคดี
จำเลย ที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกา วินิจฉัย ว่า “ที่ จำเลย ที่ 1 ฎีกา ว่า การ ที่ โจทก์ ฟ้องกล่าวหา ว่า จำเลย ที่ 1 ทำละเมิด โดย อ้างว่า จาก การ ที่ จำเลย ที่ 1ได้ ส่ง หนังสือ บอกกล่าว เลิกสัญญา กู้ เบิกเงินเกินบัญชี ให้ โจทก์ชำระหนี้ และ บอกกล่าว บังคับจำนอง ถึง โจทก์ ว่า โจทก์ เป็น ลูกหนี้จำเลย ที่ 1 โดย ที่ จำเลย ที่ 1 ยัง ไม่ได้ ฟ้องโจทก์ ต่อ ศาล นั้น กรณีจึง ยัง ถือไม่ได้ว่า จำเลย ที่ 1 ได้ ทำการ ละเมิด ต่อ โจทก์ เพราะยัง ไม่เป็น การ ทำให้ สิทธิ และ หน้าที่ ตาม กฎหมาย ของ โจทก์ ถูก โต้แย้งจาก จำเลย ที่ 1 แต่ ประการใด นั้น เห็นว่า ตาม คำฟ้อง ของ โจทก์ ได้ตั้ง รูปคดี โดย บรรยายฟ้อง ให้ เห็น ถึง การกระทำ ของ จำเลย ทั้ง สอง ที่ได้ ร่วมกัน มี หนังสือ บอกกล่าว เลิกสัญญา กู้ เบิกเงินเกินบัญชี ให้โจทก์ ชำระหนี้ และ บอกกล่าว บังคับจำนอง โดย อ้างว่า โจทก์ เป็น หนี้ค้างชำระ แก่ จำเลย ทั้ง สอง ทั้ง ๆ ที่ โจทก์ ไม่เคย มี นิติสัมพันธ์กับ จำเลย ทั้ง สอง ตาม ที่ จำเลย ทั้ง สอง มี หนังสือ บอกกล่าว ถึง โจทก์แต่ ประการใด จน เป็นเหตุ ให้ โจทก์ ต้อง ถูก หนังสือพิมพ์ รายวัน คือหนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ และ หนังสือพิมพ์ เดลินิวส์ ฉบับ ลงวันที่ 1มีนาคม 2535 ได้ ลงข่าว ทั่ว ราชอาณาจักรไทย รวมทั้ง จังหวัด นครพนมเกี่ยวกับ เรื่อง ที่ จำเลย ทั้ง สอง ทวง หนี้ โจทก์ อันเป็น การแสดง ให้เห็นว่า จำเลย ทั้ง สอง หา ได้ ใช้ ความระมัดระวัง ตรวจสอบ ถึง สภาพ ความเป็น จริง ให้ แน่นอน ก่อน ที่ จะ ดำเนินการ ใด ๆ แก่ โจทก์ จน เป็นเหตุ ให้โจทก์ และ ครอบครัว ของ โจทก์ ต้อง ได้รับ ความ เดือดร้อน เพราะ โจทก์ต้อง ถูก ผู้บังคับบัญชา เรียก ตัว ไป สอบสวน หา มูลเหตุ ของ ข่าว การ เป็น หนี้จำเลย ทั้ง สอง และ ลง ความเห็น ว่า ถ้า ข่าว ดังกล่าว เป็น จริง โจทก์ จะต้อง ถูก พิจารณา โทษ เนื่องจาก ทำให้ สถานที่ ที่ โจทก์ รับ ราชการ เสียชื่อเสียง จึง เป็น การ ทำให้ โจทก์ เสื่อมเสีย ชื่อเสียง และ ถูก ผู้ ไม่รู้ข้อเท็จจริง ดูหมิ่น ขาด ความ เชื่อถือ ใน สังคม และ เพื่อน ฝูง ใน วงราชการและ ยัง ทำให้ โจทก์ ต้อง เสีย ค่าใช้จ่าย ใน การ โทรศัพท์ ทางไกล ติดต่อญาติ พี่น้อง เพื่อ แจ้งความ จริง ให้ ญาติ พี่น้อง ทราบ ทั้ง โจทก์ ต้องว่าจ้าง คน เดินทาง ไป กรุงเทพมหานคร จังหวัด นนทบุรี และ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อ ตรวจสอบ หลักฐาน และ ยัง ได้ว่า จ้าง ทนายความ ร่างหนังสือ ร้องขอ ความเป็นธรรม ต่อ กระทรวงมหาดไทย ธนาคาร แห่งชาติสำนักนายกรัฐมนตรี และ กรมที่ดิน กรุงเทพมหานคร ข้อเท็จจริง ตามคำบรรยายฟ้อง ของ โจทก์ ดังกล่าว ข้างต้น หาก เป็น ความจริง ดัง ที่ โจทก์อ้าง การกระทำ ของ จำเลย ทั้ง สอง ดัง ฟ้อง ของ โจทก์ ก็ อาจ เป็น การ ละเมิดต่อ โจทก์ ตาม กฎหมาย ได้ ส่วน ค่าเสียหาย อัน เกิดจาก การ ละเมิด โจทก์ก็ จะ ต้อง มี หน้าที่ นำสืบ พิสูจน์ ให้ ศาล เห็น ต่อไป กรณี ตาม ฟ้องโจทก์จึง ถือได้ว่า โจทก์ ถูก จำเลย ที่ 1 โต้แย้ง สิทธิ ตาม ประมวล กฎหมายวิธีพิจารณา ความ แพ่ง มาตรา 55 แล้ว โดย ไม่จำเป็น ที่ โจทก์ จะ ต้องถูก จำเลย ที่ 1 ฟ้องร้อง ก่อน แต่ ประการใด โจทก์ จึง ชอบ ที่ จะ ฟ้องจำเลย ที่ 1 เป็น คดี นี้ ได้ ส่วน ที่ จำเลย ที่ 1 ฎีกา ว่า ใน การ อุทธรณ์โจทก์ ไม่ได้ มี คำขอ ให้ ศาลอุทธรณ์ มี คำพิพากษา ให้ รับคำ ฟ้อง ของ โจทก์ไว้ พิจารณา ต่อไป การ ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษา ให้ ศาลชั้นต้นพิจารณา และ พิพากษาคดี ใหม่ ตาม รูปคดี จึง เป็น การ พิพากษา เกินคำขอของ โจทก์ นั้น ศาลฎีกา ได้ พิเคราะห์ แล้ว เห็นว่า อุทธรณ์ ของ โจทก์เป็น อุทธรณ์ ที่ คัดค้าน คำวินิจฉัย ของ ศาลชั้นต้น และ มี คำขอ ให้ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษากลับ คำพิพากษา ศาลชั้นต้น ให้ จำเลย ทั้ง สองชดใช้ ค่าเสียหาย แก่ โจทก์ ตาม ฟ้อง เช่นนี้ เมื่อ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1เห็นว่า คำวินิจฉัย ของ ศาลชั้นต้น ไม่ถูกต้อง ศาลอุทธรณ์ ภาค 1ไม่อาจ พิพากษายืน ได้ อย่างไร ก็ ตาม เมื่อ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 เห็นว่ากรณี ไม่อาจ พิพากษา ให้ โจทก์ ชนะคดี ตาม คำขอ ใน อุทธรณ์ ของ โจทก์ ได้โดย ไม่ต้อง สืบพยาน ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 ย่อม มีอำนาจ พิพากษา ให้ศาลชั้นต้น รับฟ้อง ของ โจทก์ ไว้ ดำเนินการ ต่อไป ได้ โดย ที่ คู่ความ ฝ่ายที่ อุทธรณ์ หา จำต้อง มี คำขอ ดัง ที่ จำเลย ที่ 1 ฎีกา ไม่ ฎีกา จำเลยที่ 1 ฟังไม่ขึ้น แต่ อย่างไร ก็ ตาม ที่ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 พิพากษา ว่าให้ยก คำพิพากษา ศาลชั้นต้น ให้ ศาลชั้นต้น พิจารณา แล้ว พิพากษา ใหม่นั้น ยัง ไม่ถูกต้อง เพราะ เมื่อ ศาลอุทธรณ์ ภาค 1 เห็นว่า โจทก์ มีอำนาจฟ้อง ก็ ชอบ ที่ จะ พิพากษายก คำพิพากษา ศาลชั้นต้น แล้ว สั่ง ให้ศาลชั้นต้น รับคำ ฟ้อง ของ โจทก์ ไว้ พิจารณา ต่อไป ศาลฎีกา เห็นสมควรแก้ไข เสีย ให้ ถูกต้อง ”
พิพากษาแก้ เป็น ว่า ให้ยก คำพิพากษา ศาลชั้นต้น ให้ ศาลชั้นต้นรับคำ ฟ้อง ของ โจทก์ ไว้ พิจารณา ต่อไป แล้ว พิพากษา ใหม่ ตาม รูปคดี