คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3487/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นและจำเลยมีความว่าที่ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลย และนัดฟังคำพิพากษา จำเลยไม่เห็นพ้องด้วย เพราะข้อเท็จจริง ตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยยังไม่อาจ รับฟังเป็นยุติได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นได้ว่าจำเลยโต้แย้งคำสั่งศาลที่ให้งดสืบพยานเพียงอย่างเดียวส่วนการกำหนดประเด็นข้อพิพาท จำเลยไม่ได้โต้แย้งไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่องกำหนดประเด็นข้อพิพาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) โจทก์ฟ้องว่า ป.ได้กู้เงินและรับเงินไปจำนวน 4,000,000 บาทและให้ถือสัญญาจำนองที่ดินเป็นหลักฐานการกู้เงินด้วย จำเลย ให้การว่า จำนวนเงินที่โจทก์จ่ายจริงไม่ถึง 4,000,000 บาท การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้ง ไม่กำหนด เป็นประเด็นข้อพิพาทว่าต้นเงินถูกต้องหรือไม่ จึงให้งดสืบพยาน ข้อนี้และถือว่าป.รับเงินไปแล้ว 4,000,000 บาท จึงชอบแล้ว จำเลยให้การว่า ทรัพย์จำนองเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับป.การจำนองที่ดินดังกล่าวจำเลยไม่มีส่วนรู้เห็นหรือให้ความยินยอม โจทก์รู้อยู่แล้วว่าจำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วย กฎหมายของป.ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า สัญญาจำนองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนี้หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทรัพย์จำนองเป็นสินสมรสระหว่าง ป.กับจำเลยแล้ว การที่ป.ทำนิติกรรมจำนองโดยปราศจากความยินยอมของจำเลย นิติกรรมนั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่อจำเลยได้ให้สัตยาบัน แก่สัญญาจำนองแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นโจทก์ ผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสีย ค่าตอบแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีไปโดยมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนจึงเป็นการไม่ชอบ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน 4,498,314 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน4,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้
จำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถานหลังจากกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้ว ศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน4,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนับแต่วันที่ 9 สิงหาคม 2539 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 16786 ตำบลห้วยจรเข้ (นครปฐม)อำเภอเมืองนครปฐม (พระปฐมเจดีย์) จังหวัดนครปฐม (นครชัยศรี)ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่าจำเลยทั้งห้ามีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่องกำหนดประเด็นข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) โดยอ้างว่าเมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้ว จำเลยทั้งห้าได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 24 กันยายน 2540 แล้ว เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2540 นั้น เห็นว่าเมื่อพิจารณาคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นของจำเลยทั้งห้าฉบับลงวันที่ 26 กันยายน 2540 แล้ว มีความว่า ที่ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษา จำเลยทั้งห้าไม่เห็นพ้องด้วยเพราะข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย แสดงว่าจำเลยทั้งห้าโต้แย้งคำสั่งศาลที่ให้งดสืบพยานเพียงอย่างเดียว ส่วนการกำหนดประเด็นข้อพิพาท จำเลยทั้งห้าไม่ได้โต้แย้งไว้ จำเลยทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)
ที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า จำเลยทั้งห้าให้การว่าเมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ยุติว่า นายประวิทย์ได้รับเงินครบถ้วนตามสัญญาจำนองหรือไม่และทรัพย์จำนองเป็นสินสมรสหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นให้งดการสืบพยานโจทก์ จำเลยจึงไม่ชอบนั้นเห็นว่า เมื่อโจทก์ฟ้องว่านายประวิทย์ได้กู้เงินและรับเงินไปจำนวน 4,000,000 บาท และให้ถือสัญญาจำนองที่ดินเป็นหลักฐานการกู้เงินด้วย จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำนวนเงินที่โจทก์จ่ายจริงไม่ถึง 4,000,000 บาท ในเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคำให้การของจำเลยทั้งห้าไม่ชัดแจ้งจึงไม่กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่าต้นเงินถูกต้องหรือไม่ถือได้ว่านายประวิทย์รับเงินไปแล้ว 4,000,000 บาทที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานข้อนี้ชอบแล้ว
ส่วนปัญหาที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า ทรัพย์จำนองเป็นสินสมรสหรือไม่โดยจำเลยที่ 1 ให้การว่า ทรัพย์จำนองเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายประวิทย์ วิริยะยุทมา การจำนองที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือให้ความยินยอมแต่อย่างใดทั้ง ๆ ที่โจทก์รู้อยู่แล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายประวิทย์ ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า สัญญาจำนองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจึงไม่ชอบนั้นเห็นว่า เมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 แล้ว หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ทรัพย์จำนองเป็นสินสมรสระหว่างนายประวิทย์กับจำเลยที่ 1 ดังจำเลยอ้างแล้ว การที่นายประวิทย์ทำนิติกรรมจำนองโดยปราศจากความยินยอมของจำเลยที่ 1 นิติกรรมนั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ได้ให้สัตยาบันแก่สัญญาจำนองแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นโจทก์ผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีไปโดยมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนเป็นการไม่ชอบจึงเห็นสมควรฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความเสียก่อน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share