แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำแถลงโต้แย้งคำสั่ง ศาลชั้นต้นของจำเลยมีความว่าที่ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษาจำเลยไม่เห็นพ้องด้วยเพราะข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลย ยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่ง ให้งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย เห็นได้ว่าจำเลยโต้แย้งคำสั่งศาลที่ให้งดสืบพยานเพียงอย่างเดียว ส่วนการกำหนดประเด็นข้อพิพาทจำเลยไม่ได้โต้แย้งไว้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่อง กำหนดประเด็นข้อพิพาท ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) โจทก์ฟ้องว่า ป. ได้กู้เงินและรับเงินไปจำนวน4,000,000 บาท และให้ถือสัญญาจำนองที่ดินเป็นหลักฐานการกู้เงินด้วย จำเลยให้การว่า จำนวนเงินที่โจทก์จ่ายจริงไม่ถึง 4,000,000 บาท การที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าคำให้การของจำเลยไม่ชัดแจ้ง ไม่กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่าต้นเงินถูกต้องหรือไม่ จึงให้งดสืบพยานข้อนี้และถือว่าป. รับเงินไปแล้ว 4,000,000 บาท จึงชอบแล้ว จำเลยให้การว่า ทรัพย์จำนองเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยกับ ป. การจำนองที่ดินดังกล่าวจำเลยมีส่วนรู้เห็นหรือให้ความยินยอมโจทก์รู้อยู่แล้วว่า จำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของ ป. ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า สัญญาจำนองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ดังนี้หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ทรัพย์จำนองเป็นสินสมรส ระหว่าง ป. กับจำเลยแล้ว การที่ ป. ทำนิติกรรมจำนองโดยปราศจากความยินยอมของจำเลย นิติกรรมนั้นจะสมบูรณ์ ต่อเมื่อจำเลยได้ให้สัตยาบันแก่สัญญาจำนองแล้ว หรือในขณะที่ ทำนิติกรรมนั้นโจทก์ผู้รับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลภายนอก ได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 การที่ศาลล่างทั้งสอง พิพากษาคดีไปโดยมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนจึงเป็นการไม่ชอบ
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระต้นเงินและดอกเบี้ยจำนวน 4,498,314 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากต้นเงิน 4,000,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้
จำเลยทั้งห้าให้การต่อสู้คดีขอให้ยกฟ้อง
ในวันชี้สองสถานหลังจากกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วศาลชั้นต้นเห็นว่าข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การเพียงพอแก่การวินิจฉัยคดีแล้ว จึงมีคำสั่งให้งดสืบพยาน
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันชำระเงินจำนวน4,000,000 บาท จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยทั้งห้าไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 16786 ตำบลห้วยจรเข้ (นครปฐม)อำเภอเมืองนครปฐม(พระปฐมเจดีย์) จังหวัดนครปฐม (นครชัยศรี)ออกขายทอดตลาดนำเงินชำระหนี้แก่โจทก์
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
จำเลยทั้งห้าฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่าจำเลยทั้งห้ามีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นในเรื่องกำหนดประเด็นข้อพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2) โดยอ้างว่า เมื่อศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วจำเลยทั้งห้าได้โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 24 กันยายน 2540 แล้ว เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2540 นั้น เห็นว่าเมื่อพิจารณาคำแถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นของจำเลยทั้งห้าฉบับลงวันที่ 26 กันยายน 2540 แล้ว มีความว่าที่ศาลกำหนดประเด็นข้อพิพาทแล้วมีคำสั่งให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและนัดฟังคำพิพากษาจำเลยทั้งห้าไม่เห็นพ้องด้วยเพราะข้อเท็จจริงตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยยังไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้งดสืบพยานและนัดฟังคำพิพากษาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมายแสดงว่าจำเลยทั้งห้าโต้แย้งคำสั่งศาลที่ให้งดสืบพยานเพียงอย่างเดียวส่วนการกำหนดประเด็นข้อพิพาท จำเลยทั้งห้าไม่ได้โต้แย้งไว้จำเลยทั้งห้าจึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226(2)
ที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า จำเลยทั้งห้าให้การว่า เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ยุติว่า นายประวิทย์ได้รับเงินครบถ้วนตามสัญญาจำนองหรือไม่และทรัพย์จำนองเป็นสินสมรสหรือไม่การที่ศาลชั้นต้นให้งดการสืบพยานโจทก์จำเลยจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ฟ้องว่านายประวิทย์ได้กู้เงินและรับเงินไปจำนวน 4,000,000 บาท และให้ถือสัญญาจำนองที่ดินเป็นหลักฐานการกู้เงินด้วย จำเลยทั้งห้าให้การว่า จำนวนเงินที่โจทก์จ่ายจริงไม่ถึง 4,000,000 บาท ในเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่าคำให้การของจำเลยทั้งห้าไม่ชัดแจ้งจึงไม่กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทว่าต้นเงินถูกต้องหรือไม่ ถือได้ว่านายประวิทย์รับเงินไปแล้ว 4,000,000 บาท ที่ศาลชั้นต้นให้งดสืบพยานข้อนี้ ชอบแล้ว
ส่วนปัญหาที่จำเลยทั้งห้าฎีกาว่า ทรัพย์จำนองเป็นสินสมรสหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ให้การว่า ทรัพย์จำนองเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับนายประวิทย์ วิริยะยุทมา การจำนองที่ดินดังกล่าวจำเลยที่ 1 ไม่มีส่วนรู้เห็นหรือให้ความยินยอมแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่โจทก์รู้อยู่แล้วว่า จำเลยที่ 1 เป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายประวิทย์ ชั้นชี้สองสถานศาลชั้นต้นได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า สัญญาจำนองชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจึงไม่ชอบนั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 แล้ว หากข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทรัพย์จำนองเป็นสินสมรสระหว่างนายประวิทย์กับจำเลยที่ 1 ดังจำเลยอ้างแล้ว การที่นายประวิทย์ทำนิติกรรมจำนองโดยปราศจากความยินยอมของจำเลยที่ 1 นิติกรรมนั้นจะสมบูรณ์ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ได้ให้สัตยาบันแก่สัญญาจำนองแล้ว หรือในขณะที่ทำนิติกรรมนั้นโจทก์ผู้รับจำนองซึ่งเป็นบุคคลภายนอกได้กระทำโดยสุจริตและเสียค่าตอบแทน การที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาคดีไปโดยมิได้ฟังข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนเป็นการไม่ชอบจึงเห็นสมควรฟังพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายให้สิ้นกระแสความเสียก่อน”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี