คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3483/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การที่โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์ให้คนขับรถและคนประจำรถของตนนำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆตามที่ตกลงไว้กับบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้รับค่าตอบแทนและไม่ปรากฏว่าบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าซึ่งเป็นคู่สัญญามีอำนาจควบคุมการใช้รถหรืออาจออกคำสั่งให้คนขับรถขับรถไปในเส้นทางใดตามความประสงค์ของตนได้ทั้งมิได้มีการมอบการครอบครองรถให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าคู่สัญญานำรถไปใช้ตามลำพังไม่ถือเป็นสัญญาเช่ารถยนต์หากแต่เป็นสัญญารับขนส่งซึ่งได้รับยกเว้นภาษีการค้าทั้งนี้แม้จะมีการเรียกสัญญาดังกล่าวว่าสัญญาเช่าและมีการเรียกค่าตอบแทนตามสัญญาดังกล่าวว่าค่าเช่าหรือโจทก์ยอมรับกับเจ้าพนักงานประเมินว่าเป็นสัญญาเช่าก็หามีผลให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าเพราะประกอบการค้าประเภทการให้เช่าทรัพย์สินแต่อย่างใดไม่.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่าการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนการประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าการค้าของโจทก์เป็นการให้เช่าทรัพย์สินอันจะต้องเสียภาษีการค้าประเภทการค้า 5 ตามบัญชีอัตราภาษีการค้าแห่งประมวลรัษฎากรหรือไม่ …พิเคราะห์แล้วเห็นว่า การที่เจ้าของรถยนต์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารหรือนักท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่าง ๆ ตามที่ตกลงกันกับบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าโดยได้ค่าตอบแทนดังเช่นกรณีนี้อาจเกิดจากสัญญาเช่ารถยนต์ สัญญาจ้างหรือสัญญาอื่นก็ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงและข้อเท็จจริงที่คู่สัญญาปฎิบัติต่อกัน กรณีที่จะเป็นสัญญาเช่านั้นตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 537, 546 และ 552ต้องปรากฎว่าคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ส่งมอบทรัพย์ให้อีกฝ่ายหนึ่งได้ใช้หรือได้รับประโยชน์ชั่วระยะเวลาหนึ่งได้ตามความพอใจเท่าที่ไม่ขัดกับสัญญาและประเพณีนิยม ซึ่งในชั่วระยะเวลานั้นคู่สัญญาฝ่ายที่ได้ใช้หรือได้รับประโยชน์จากทรัพย์จะเป็นผู้ครอบครองทรัพย์นั้นข้อเท็จจริงที่จะวินิจฉัยว่า การที่โจทก์นำรถยนต์ไปรับคนโดยสารตามที่ตกลงกับบริษัทท่องเที่ยวและร้านค้าเป็นการเช่ารถยนต์หรือไม่คงมีอยู่ตามข้อนำสืบของโจทก์ซึ่งจำเลยไม่ได้โต้แย้งแต่เพียงว่าโจทก์ไม่ได้ให้เช่ารถยนต์ โดยผู้เช่าเอารถไปใช้เองตามใจชอบ แต่เป็นการที่มีผู้มาจ้างเหมารถไปเป็นครั้งคราวเพื่อรับคนโดยสารไปยังที่แห่งใดแห่งหนึ่งตามอัตราจำนวนเงินที่โจทก์กำหนดไว้ล่วงหน้าเป็นการแน่นอน ผู้ว่าจ้างจะเอารถเลยไปยังที่แห่งอื่นไม่ได้และโจทก์ให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไป มีคนประจำรถของโจทก์ไปด้วย ตามที่โจทก์จำเลยนำสืบไม่ปรากฎว่าบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้า ซึ่งเป็นคู่สัญญาของโจทก์มีอำนาจควบคุมการใช้รถ หรืออาจออกคำสั่งให้คนขับรถของโจทก์ขับรถไปในเส้นทางใดตามความประสงค์ของตนได้ ที่เจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 ถือว่ากิจการค้าของโจทก์เป็นการให้เช่ารถ ก็โดยถือเอาตามความเข้าใจของตน ดังจะเห็นได้ว่านางวณาวรรณ นนทียะกุล เจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้เรียกให้นางอรุณีนำบัญชีของโจทก์ไปให้ตรวจสอบ ได้เบิกความว่าการนำรถออกไปจากบริษัทโจทก์และมีการให้ค่าตอบแทน ก็ถือได้ว่าเป็นการเช่าแล้ว นายอรุณ มุกดาสนิทเจ้าหน้าที่ตรวจสอบภาษีของจำเลยที่ 1 อีกผู้หนึ่งก็เบิกความว่าการนำนักทัศนาจรจากกรุงเทพฯ ไปหัวหิน และนำกลับมาส่งที่กรุงเทพฯถือว่าเป็นการเช่ารถเช่นกัน ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้จากพยานหลักฐานของโจทก์โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่โจทก์ให้คนขับรถและคนประจำรถไปกับรถของโจทก์นั้น ย่อมแสดงว่าโจทก์ให้คนของโจทก์ควบคุมรถไปด้วย โจทก์มิได้มอบการครอบครองรถให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าคู่สัญญาของโจทก์นำรถไปใช้ตามลำพัง และคู่สัญญาของโจทก์จะตำรถไปสถานที่อื่นก็ไม่ได้ สัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าจึงหาเป็นสัญญาเช่าไม่ หากแต่เป็นเรื่องที่โจทก์ให้บริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าได้ใช้บริการในการขนส่งของโจทก์ โดยโจทก์ได้ค่าตอบแทนมากกว่าเป็นการให้เช่ารถยนต์เมื่อสัญญาระหว่างโจทก์และบริษัทท่องเที่ยวหรือร้านค้าดังกล่าวไม่เป็นสัญญาเช่าตามบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว แม้จะมีการเรียกสัญญานั้นว่าเป็นสัญญาเช่า และเรียกค่าตอบแทนตามสัญญาดังกล่าวว่าเป็นค่าเช่า หรือโจทก์ยอมรับกับเจ้าพนักงานประเมินของจำเลยที่ 1 ว่าเป็นสัญญาเช่าก็หามีผลให้โจทก์ต้องเสียภาษีการค้าเพราะประกอบการค้าประเภทการค้าให้เช่าทรัพย์สินแต่อย่างใดไม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1071/2515บริษัทอโศกมอเตอร์ จำกัด โจทก์กรมสรรพากร กับพวก จำเลยที่จำเลยอ้างในคำแก้ฎีกาข้อเท็จจริงหาตรงกับคดีนี้ไม่ ที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ประกอบการค้าประเภทให้เช่าทรัพย์สิน (รถยนต์โดยสารปรับอากาศ)การประเมินภาษีและคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ชอบแล้วนั้นยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ”.

Share