คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3482/2535

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่าจำเลยบุกรุกและเรียกค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ในที่พิพาทเป็นเงินเดือนละ 1,000 บาท ถือได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท เมื่อจำเลยให้การว่า จำเลยได้ขอใช้ที่พิพาทจาก ส. ตลอดมาจนถึงปัจจุบันมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ และศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้ยึดถือทำประโยชน์ในที่พิพาทมานานแล้วการครอบครองของโจทก์ย่อมสิ้นสุดลง โจทก์ฎีกาว่า โจทก์ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมาโดยตลอดมิได้ทิ้งร้าง การครอบครองจึงยังไม่สิ้นสุดลง เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินสวนมะพร้าว และมะม่วงหิมพานต์ เนื้อที่ 20 ไร่เศษ โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ตลอดมาจนกระทั่งระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2532 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2532จำเลยและบริวารได้บุกรุกเข้าไปล้อมรั้วและปลูกมันสำปะหลังทั้งในบริเวณที่ตัดฟันต้นมะม่วงหิมพานต์ และบริเวณอื่นเต็มทั้งแปลง โจทก์บอกกล่าวห้ามปรามแล้ว แต่จำเลยและบริวารเพิกเฉยขอให้จำเลยและบริวารออกไปพร้อมทั้งรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์ และชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 18,000 บาทแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย และให้จำเลยใช้ค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์อีกเดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปและรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การว่า เมื่อปี 2528 นายสุชีพ กำแก้ว ได้แผ้วถางป่าบริเวณที่พิพาทเนื้อที่ 5 ไร่เศษ ปลูกมะพร้าวและมะม่วงหิมพานต์ต่อมาเมื่อปี 2530 จำเลยซึ่งอยู่ใกล้เคียงที่พิพาทได้ขอใช้ที่ดินระหว่างแนวต้นมะพร้าวและมะม่วงหิมพานต์จากนายสุชีพปลูกมันสำปะหลังตลอดมาจนถึงปัจจุบันนี้ โจทก์มิได้ฟ้องคดีภายในกำหนด 1 ปี นับแต่จำเลยปลูกมันสำปะหลัง คดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่ดินของโจทก์โดยอ้างว่า จำเลยบุกรุก และเรียกค่าเสียหายจากการขาดประโยชน์ในที่พิพาทเป็นเงินเดือนละ 1,000 บาทถือได้ว่าที่พิพาทอาจให้เช่าได้ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาท เมื่อจำเลยให้การว่า จำเลยได้ขอใช้ที่พิพาทจากนายสุชีพ กำแก้ว ตลอดมาจนถึงปัจจุบันมิได้กล่าวแก้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ และศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ โดยวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ได้ยึดถือทำประโยชน์ในที่พิพาทมานานแล้วการครอบครองของโจทก์ย่อมสิ้นสุดลงโจทก์ฎีกาว่า โจทก์ยึดถือครอบครองทำประโยชน์ในที่พิพาทมาโดยตลอดมิได้ทิ้งร้างการครอบครองจึงยังไม่สิ้นสุดลง เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์นั้นจึงไม่ชอบด้วยกระบวนพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share