คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3479/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 2 และที่ 4 เคยเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนจำเลยที่ 1 แต่ได้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนก่อนที่โจทก์จะฟ้องห้างจำเลยที่ 1 ให้ล้มละลาย จำเลยที่ 2 และที่ 4 ย่อมมิใช่หุ้นส่วนของห้างจำเลยที่ 1 ในขณะโจทก์ฟ้องคดีและขณะที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างจำเลยที่ 1 เด็ดขาด แม้จำเลยที่ 2 และที่ 4 มีความรับผิดในฐานะของผู้เป็นหุ้นส่วนอันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่งห้างจำเลยที่ 1 ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนจะออกจากหุ้นส่วน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1068 ก็ตาม แต่ถ้าโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าขณะโจทก์ฟ้อง จำเลยที่ 2 และที่ 4 มีหนี้สินล้นพ้นตัว ก็ไม่มีเหตุที่จะพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 2 และที่ 4 เด็ดขาด
จำเลยที่ 5 เป็นหุ้นส่วนในห้างจำเลยที่ 1 ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีและศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เมื่อห้างจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระหนี้ โจทก์ฟ้องทั้งห้างจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 ผู้เป็นหุ้นส่วนร่วมกับหุ้นส่วนอื่น ๆ ให้ล้มละลายศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างจำเลยที่ 1 เด็ดขาดแล้วเช่นนี้ โจทก์ก็ไม่จำต้องนำสืบว่าจำเลยที่ 5 ผู้เป็นหุ้นส่วนมีหนี้สินล้นพ้นตัวด้วย กรณีมีเหตุที่จำเลยที่ 5 จะต้องล้มละลายตามห้างจำเลยที่ 1 โจทก์ไม่จำเป็นต้องมีคำขอให้จำเลยที่ 5 ล้มละลายตามห้างจำเลยที่ 1 โดยอาศัยพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ. 2483 มาตรา 89 อีก

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นนิติบุคคลประเภทห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน มีจำเลยที่ ๒ ถึงที่ ๕ เป็นหุ้นส่วน โดยจำเลยที่ ๔ และ ๕ เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ และจำเลยที่ ๓ ได้เข้าร่วมจัดการงานของห้างจำเลยที่ ๑ ด้วย จำเลยที่ ๖ เปิดบัญชีเงินฝากที่ธนาคารการตโอเวอร์ซีส์ จำกัด และมอบอำนาจให้จำเลยที่ ๓ กระทำการแทนรวมทั้งสั่งจ่ายเช็คชำระหนี้ของจำเลยที่ ๑ ให้แก่โจทก์และเจ้าหนี้ทั้งหลายจำเลยที่ ๖ จึงมีหน้าที่ร่วมรับผิดต่อโจทก์ เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๒๔ จำเลยที่ ๑ ซื้อผ้าจากโจทก์เป็นเงิน ๖๙๗,๘๑๒ บาท ๕๐ สตางค์ โดยจำเลยที่ ๓ ในฐานะตัวแทนของจำเลยที่ ๖ สั่งจ่ายเช็คของจำเลยที่ ๖ จำนวนเงินเท่ากับราคาผ้าดังกล่าวชำระให้โจทก์ แต่โจทก์รับเงินไม่ได้เพราะธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทวงถามแล้ว จำเลยทั้งหกเพิกเฉย จำเลยที่ ๓ หลบหนีไปจากสถานีที่ประกอบธุรกิจและภูมิลำเนา ต่อมาห้างจำเลยที่ ๑ หยุดกิจการงดชำระหนี้แก่เจ้าหนี้ทั้งหลายทรัพย์สินของจำเลยที่ ๖ ก็ไม่พอชำระหนี้ตามพฤติการณ์ถือได้ว่า จำเลยทั้งหกมีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งหกเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ที่ ๖ ให้การว่า หนี้ตามฟ้องจำเลยที่ ๓ กระทำไปส่วนตัวไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ หลักฐานที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นความเท็จ จำเลยไม่ใช่บุคคลที่มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๓ ไม่ยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๕ เด็ดขาดยกฟ้องจำเลยที่ ๖
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๔ และที่ ๕ นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ ๒ ที่ ๔ เคยเป็นหุ้นส่วนในห้างจำเลยที่ ๑ แต่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครให้ออกจากการเป็นหุ้นส่วนของห้างจำเลยที่ ๑ แล้ว เพราะเหตุที่มีการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นอันเป็นเวลาก่อนที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ย่อมมิใช่หุ้นส่วนของห้างจำเลยที่ ๑ ในขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้และขณะที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างจำเลยที่ ๑ เด็ดขาด แม้จำเลยทั้งสองมีความรับผิดในฐานะของผู้เป็นหุ้นส่วนอันเกี่ยวแก่หนี้ซึ่งห้างจำเลยที่ ๑ ได้ก่อให้เกิดขึ้นก่อนที่ตนออกจากหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๖๘ ก็ตาม แต่เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่า ขณะโจทก์ฟ้องจำเลยที่ ๒ และที่ ๔ มีหนี้สินล้นพ้นตัว จึงไม่มีเหตุที่จะพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ เด็ดขาด ส่วนจำเลยที่ ๕ นั้นปรากฏว่า ในขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้และขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างจำเลยที่ ๑เด็ดขาด จำเลยที่ ๕ เป็นหุ้นในห้างจำเลยที่ ๑ เมื่อห้างจำเลยที่ ๑ ผิดนัดชำระหนี้โจทก์ได้ฟ้องทั้งห้างจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๕ ผู้เป็นหุ้นส่วนร่วมกับหุ้นส่วนอื่น ๆ ให้ล้มละลายซึ่งศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างจำเลยที่ ๑ เด็ดขาดแล้ว การที่จำเลยที่ ๑ เป็นห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียนและจำเลยที่ ๕ เป็นหุ้นส่วนในห้างจำเลยที่ ๑ ในขณะที่จำเลยที่ ๑ ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเช่นนี้โจทก์ก็ไม่จำต้องนำสืบว่าจำเลยที่ ๕ มีหนี้สินล้นพ้นตัวด้วย กรณีมีเหตุที่จำเลยที่ ๕ จะต้องล้มละลายตามห้างจำเลยที่ ๑ โจทก์ไม่จำเป็นต้องมีคำขอให้จำเลยที่ ๕ ล้มละลายตามห้างจำเลยที่ ๑ โดยอาศัยพระราชบัญญัติล้มละลายพุทธศักราช ๒๔๘๓ มาตรา ๘๙ อีก
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ ๕ เด็ดขาดตามคำสั่งศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share