คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3477/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์การขายฝากที่ดินพิพาทจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา456วรรคหนึ่งประกอบมาตรา491เมื่อสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะโจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หาได้ไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นบุตรนางอัมพร ภูผาเผย จำเลยกับนางอัมพรมีชื่อเป็นผู้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 373 เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2521 นางอัมพรได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ในราคา24,000 บาท มีกำหนด 1 ปี โดยจำเลยและนางอัมพรตกลงว่าเป็นการขายฝากที่ดินทั้งแปลง แต่ที่ดินส่วนของจำเลยไม่อาจทำนิติกรรมได้เพราะขณะนั้นจำเลยอายุเพียง 16 ปี จำเลยได้ให้คำมั่นว่าถ้านางอัมพรไม่ไถ่ถอนภายในกำหนด จำเลยจะจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยให้โจทก์เมื่อจำเลยบรรลุนิติภาวะแล้ว ต่อมานางอัมพรไม่ได้ไถ่ถอนตามกำหนด ที่ดินเฉพาะส่วนของนางอัมพรตกเป็นของโจทก์ และจำเลยได้สละการครอบครองส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์แล้ว ต่อมาปี 2526 ซึ่งจำเลยบรรลุนิติภาวะแล้ว โจทก์ขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์ แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ยอมให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่า นางอัมพรได้ขายฝากที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ ข้อตกลงระหว่างโจทก์กับนางอัมพรกระทำในขณะที่จำเลยเป็นผู้เยาว์จึงขัดต่อกฎหมาย ไม่สมบูรณ์ ใช้บังคับไม่ได้ จำเลยไม่เคยให้คำมั่นใด ๆ แก่โจทก์และไม่เคยสละการครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดชี้สองสถาน ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องและคำให้การแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดการชี้สองสถานและงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีที่ราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง โจทก์คงฎีกาได้เฉพาะในปัญหาข้อกฎหมายแต่การวินิจฉัยปัญหาเช่นว่านี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 238 ประกอบมาตรา 247ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นบุตรของนางอัมพรและเป็นผู้มีชื่อร่วมกันในหนังสือรับรองการทำประโยชน์ที่ดินพิพาทเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2521 นางอัมพรได้ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของตนให้แก่โจทก์ในราคา 24,000 บาท มีกำหนด 1 ปีอายุเพียง 16 ปี แล้วไม่ไถ่ถอนภายในกำหนดที่ดินพิพาทเฉพาะส่วนของนางอัมพรตกเป็นของโจทก์แล้ว มีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเป็นอสังหาริมทรัพย์ การขายฝากที่ดินพิพาทจะต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่มิฉะนั้นตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 491 เมื่อสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะโจทก์จะฟ้องบังคับให้จำเลยโอนที่ดินเฉพาะส่วนของจำเลยให้แก่โจทก์ โดยทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หาได้ไม่คดีพอวินิจฉัยได้โดยไม่จำต้องฟังพยานโจทก์จำเลยอีกต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยและพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share