แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 วรรคแรก บัญญัติว่า “โทษจำคุกให้เริ่มแต่วันมีคำพิพากษา แต่ถ้าผู้ต้องคำพิพากษาถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา ให้หักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา เว้นแต่คำพิพากษานั้นจะกล่าวไว้เป็นอย่างอื่น” คำว่า ถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา หมายความว่า ต้องถูกคุมขังอยู่ในคดีที่ศาลมีคำพิพากษา การที่จำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในคดีอื่นและผู้ประกันมิได้ร้องขอส่งตัวจำเลยที่ 1 เพื่อให้ศาลออกหมายขังจำเลยที่ 1 ในคดีนี้จึงไม่อาจหักวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกในคดีนี้ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นการกระทำกรรมเดียว เป็นความผิดกฎหมายหลายบทแต่ละบทมีอัตราโทษเท่ากัน ลงโทษฐานมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 ไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายจำคุกคนละ 6 ปี จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 3 ปี ส่วนจำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี ริบของกลางทั้งหมด เว้นแต่ธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อให้แก่กระทรวงสาธารณสุข ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นคดีถึงที่สุดโดยศาลฎีกาพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7
จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 1 ถูกจับกุมเมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2537 และได้รับการปล่อยชั่วคราวเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2537 ผู้ประกันได้ถอนหลักประกันเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2537 วันที่ 25 มกราคม 2538 จำเลยที่ 1 ได้รับการปล่อยชั่วคราวอีกครั้ง ต่อมาวันที่ 23 ตุลาคม 2538 จำเลยที่ 1 ถูกจับกุมในอีกคดีหนึ่งตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1965/2539 ของศาลจังหวัดอ่างทอง แล้วถูกคุมขังมาโดยตลอด มิได้รับการปล่อยชั่วคราว ต่อมาศาลฎีกาพิพากษาคดีนี้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี ศาลชั้นต้นได้ออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดที่ 993/2541 ลงวันที่ 25 มิถุนายน 2541 โดยหักวันที่ถูกคุมขังมาแล้วให้จำเลยที่ 1 เพียง 45 วัน มิได้หักวันที่ถูกคุมขังนับแต่วันที่ 23 ตุลาคม 2538 จนถึงวันที่ศาลฎีกาพิพากษาคดีนี้ออกจากระยะเวลาจำคุกของจำเลยที่ 1 แม้ผู้ประกันจะมิได้ถอนหลักประกันคดีนี้ แต่จำเลยที่ 1 ก็ถูกคุมขังอยู่จริง ทั้งคดีทั้งสองต่างดำเนินกระบวนพิจารณาไปพร้อมกัน จึงขอให้ศาลชั้นต้นหักวันที่ถูกคุมขังดังกล่าวออกจากโทษจำคุกของจำเลยที่ 1 ด้วย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า วันที่ 23 ตุลาคม 2538 จำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในคดีอื่นที่ศาลจังหวัดอ่างทองมิใช่ถูกคุมขังในคดีนี้ และผู้ประกันมิได้ร้องขอส่งตัวจำเลยที่ 1 เพื่อคุมขังจำเลยที่ 1 ไว้ในคดีนี้จึงไม่อาจหักวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามที่จำเลยที่ 1 อ้างได้
ต่อมาจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวนและมีคำสั่งหักวันที่ถูกคุมขังดังกล่าวข้างต้นออกจากระยะเวลาจำคุกของจำเลยที่ 1
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า การหักวันที่ถูกคุมขังให้จำเลยที่ 1 ถูกต้องแล้ว ที่จำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในคดีอื่นไม่เกี่ยวข้องกับคดีนี้ ไม่อาจนำมาหักได้ ให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 22 วรรคแรก บัญญัติว่า “โทษจำคุกให้เริ่มแต่วันมีคำพิพากษา แต่ถ้าผู้ต้องคำพิพากษาถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษา ให้หักจำนวนวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกตามคำพิพากษา เว้นแต่คำพิพากษานั้นจะกล่าวไว้เป็นอย่างอื่น” คำว่า ถูกคุมขังก่อนศาลพิพากษานั้น หมายความว่าต้องถูกคุมขังอยู่ในคดีที่ศาลมีคำพิพากษา การที่จำเลยที่ 1 ถูกคุมขังในคดีอื่นและผู้ประกันมิได้ร้องขอส่งตัวจำเลยที่ 1 เพื่อให้ศาลออกหมายขังจำเลยที่ 1 ในคดีนี้จึงไม่อาจหักวันที่ถูกคุมขังออกจากระยะเวลาจำคุกในคดีนี้ตามที่จำเลยที่ 1 อ้างได้”
พิพากษายืน