คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3474/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอาศัยสัญญาเช่าอาคารระหว่างโจทก์กับวัดบางขวาง ฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2525 เป็นหลักแห่งข้อหา ส่วนคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยโดยอาศัยเหตุจากสัญญาเช่าอาคารระหว่างโจทก์กับวัดบางขวางฉบับลงวันที่ 29 สิงหาคม 2522 จึงเป็นคนละเหตุแม้จะเป็นประเด็นอย่างเดียวกันก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน แม้โจทก์เป็นผู้เช่าไม่เคยเข้าครอบครองตึกแถวพิพาท แต่โจทก์มีคำขอให้ศาลเรียกวัดบางขวางเข้าเป็นโจทก์ร่วมมาพร้อมกับคำฟ้องของโจทก์และวัดบางขวางซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในภายหลัง โดยถือเอาคำฟ้องเดิมของโจทก์ทั้งหมดเป็นคำฟ้องของตนหรือเป็นคำฟ้องส่วนหนึ่งของโจทก์ร่วมเมื่อศาลอนุญาตแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องดำเนินคดีกับจำเลยได้ จำเลยเข้าอยู่อาศัยในตึกแถวพิพาทโดยเช่าช่วงจาก ล.เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่า สิทธิการเช่าระงับไป สิทธิการเช่าช่วงย่อมระงับตามไปด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและบริวารออกจากตึกแถวพิพาทซึ่งโจทก์เช่าจากวัดบางขวางตามหนังสือสัญญาเช่าท้ายฟ้อง และเรียกค่าเสียหายก่อนจำเลยยื่นคำให้การ โจทก์ขอให้เรียกวัดบางขวางเข้าเป็นโจทก์ร่วม
โจทก์ร่วมยื่นคำร้องว่า ตึกแถวพิพาทเป็นของโจทก์ร่วม เดิมให้นางลิ้ม ตั่งยะฤทธิ์ เช่า นางลิ้มให้จำเลยเช่าช่วงมีกำหนด 1 ปีครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ยอมขนย้ายออก ต่อมานางลิ้มโอนสิทธิการเช่าให้แก่โจทก์ โจทก์ทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วม และบอกกล่าวให้จำเลยออกจากตึกแถวพิพาทแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ร่วมอาจถูกโจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจึงขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยให้การว่า โจทก์ร่วมไม่มีสิทธิให้ความยินยอมให้โจทก์ดำเนินคดีกับจำเลย และเข้ามาในคดีหลังจากจำเลยยื่นคำให้การทำให้จำเลยเสียเปรียบ จำเลยเช่าตึกแถวพิพาทจากนางลิ้ม มากว่า 10 ปีโจทก์ทำสัญญากับโจทก์ร่วมภายหลังโจทก์ร่วมไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องและโจทก์ไม่เคยครอบครองตึกแถวพิพาท จึงไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีหมายเลขแดงที่ 323-324/2523 ของศาลชั้นต้นโจทก์เสียหายไม่เกินเดือนละ 80 บาท
ระหว่างพิจารณาคู่ความแถลงไม่ติดใจสืบพยานบุคคล ขอให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยตามพยานเอกสารที่โจทก์และโจทก์ร่วมอ้าง และรับกันว่าโจทก์ได้รับค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากตึกแถวพิพาทให้ส่งมอบตึกแถวพิพาทแก่โจทก์ และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นรายเดือน เดือนละ 1,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากตึกแถวพิพาท ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์และโจทก์ร่วม โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เช่าตึกแถวพิพาทจากวัดบางขวางโจทก์ร่วม แต่ไม่สามารถเข้าครอบครองตึกแถวดังกล่าวได้เนื่องจากจำเลยไม่ยอมขนย้ายออกไป โจทก์จึงฟ้องขอให้ขับไล่จำเลย ศาลพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่า โจทก์เป็นเพียงผู้เช่ายังไม่เคยเข้าครอบครองตึกแถวพิพาท ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งครอบครองตึกแถวพิพาท คดีถึงที่สุด โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยคนเดียวกันเป็นคดีนี้ ขอให้ขับไล่จำเลยออกจากตึกแถวดังกล่าวอีก มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่าฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องคดีก่อนหรือไม่
ศาลฎีกาเห็นว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยสัญญาเช่าระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่ากับวัดบางขวางซึ่งเป็นผู้ให้เช่า ตามสัญญาเช่าอาคาร ฉบับลงวันที่ 25 กันยายน 2525 เอกสารหมาย จ.1เป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ให้บังคับขับไล่จำเลย ส่วนคดีก่อนซึ่งถึงที่สุดไปแล้ว โจทก์ฟ้องโดยอาศัยเหตุจากสัญญาเช่าอาคารระหว่างโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่ากับวัดบางขวางซึ่งเป็นผู้ให้เช่าตามสัญญาเช่าอาคารฉบับลงวันที่ 29 สิงหาคม 2522 จึงเป็นคนละเหตุแม้จะเป็นประเด็นอย่างเดียวกันก็ไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน ปัญหาต่อไปที่ต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่เห็นว่าแม้โจทก์เป็นผู้เช่ายังไม่เคยเข้าครอบครองตึกแถวพิพาทเลยแต่โจทก์ก็มีคำขอให้ศาลเรียกวัดบางขวางเข้าเป็นโจทก์ร่วมมาพร้อมกับคำฟ้องของโจทก์และวัดบางขวางซึ่งเป็นเจ้าของตึกแถวพิพาทร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วมในภายหลัง โดยถือเอาคำฟ้องเดิมของโจทก์ทั้งหมดเป็นคำฟ้องของตนหรือเป็นคำฟ้องส่วนหนึ่งของโจทก์ร่วม เมื่อศาลอนุญาตแล้ว โจทก์และโจทก์ร่วมจึงมีอำนาจฟ้องดำเนินคดีกับจำเลยได้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1190/2518 ระหว่างบริษัททรง จำกัดโจทก์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์โจทก์ร่วม นายมงคลมหกิจไพศาล จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่ 302/2530 ระหว่างนางสมจิตร ศิริสะอาด โจทก์ นางสาวอำภา ชคัตตรยาพงษ์ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน จำเลย ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยเข้าอยู่อาศัยในตึกพิพาทโดยเช่าช่วงจากนางลิ้ม ตั่งยะฤทธิ์เมื่อครบกำหนดตามสัญญาเช่าแล้ว สิทธิการเช่าระงับไป สิทธิในการเช่าช่วงย่อมระงับตามไปด้วย ทั้งจำเลยมิได้ให้การแก้ว่า โจทก์ร่วมมิใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ตึกแถวพิพาท โจทก์ร่วมย่อมมอบอำนาจให้นายลอนกาญจนสาลักษณ์ ไวยาวัจกรเข้าเป็นโจทก์ร่วมได้ ตามภาพถ่ายหนังสือแต่งตั้ง ไวยาวัจกร เอกสารหมาย จ.5 และหนังสือมอบอำนาจเอกสารหมายจ.6 โจทก์ร่วมได้บอกกล่าวให้จำเลยออกไปจากตึกแถวพิพาทแล้วตามหนังสือบอกกล่าวเอกสารหมาย จ.8 จำเลยจึงไม่มีสิทธิอยู่ในตึกแถวพิพาทอีกต่อไป สำหรับค่าเสียหายคู่ความทั้งสองฝ่ายตกลงกันว่า คิดค่าเสียหายเป็นรายเดือน เดือนละ 1,000 บาทปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 16 มิถุนายน 2526ของศาลชั้นต้น จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์และโจทก์ร่วมรวมกันเดือนละ 1,000 บาท ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาโจทก์และโจทก์ร่วมฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share