แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
แม้โจทก์จะอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นขอรับชำระหนี้ในส่วนที่ขาดอันมีทุนทรัพย์ในชั้นอุทธรณ์จำนวน 11,798.96 บาทก็ตาม แต่การพิจารณาว่าคดีใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่นั้นต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะยื่นอุทธรณ์ เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์ก่อนที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ใช้บังคับจึงต้องพิจารณาตามกฎหมายเดิมก่อนแก้ไข ฉะนั้น เมื่อคดีของโจทก์มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทในศาลชั้นต้นเกินสองหมื่นบาท จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริง
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้จำเลยทั้งสองล้มละลายศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองไว้เด็ดขาดแล้วต่อมาโจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามคำพิพากษาจำนวน 605,830.57 บาทจากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ของโจทก์
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้ว เห็นว่า ควรให้โจทก์ได้รับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของจำเลยทั้งสอง จำนวน 590,531.61 บาทตามมาตรา 130(8) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ส่วนที่เกินมาให้ยกเสีย
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ได้รับชำระหนี้ตามรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้เป็นกรณีพิพาทกันในชั้นขอรับชำระหนี้ กล่าวคือโจทก์ยื่นคำขอรับชำระหนี้เป็นเงินจำนวน605,830.57 บาท แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้ได้รับชำระหนี้เพียงบางส่วนเป็นเงิน 590,531.61 บาท ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์อุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นขอให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำสั่งศาลชั้นต้นโดยให้โจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้เพิ่มขึ้นอีกเป็นเงิน 11,798.96 บาท คดีนี้จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือที่เรียกว่าคดีมีทุนทรัพย์ และทุนทรัพย์ในศาลชั้นต้นก็คือจำนวนเงิน 605,830.57 บาทตามที่โจทก์ได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ส่วนจำนวนเงิน 11,798.96 บาทที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้ได้รับชำระหนี้เพิ่มนั้นก็เป็นทุนทรัพย์ในชั้นศาลอุทธรณ์ อย่างไรก็ตามการที่จะพิจารณาว่าคดีใดต้องห้ามอุทธรณ์หรือไม่จะต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีการยื่นอุทธรณ์ ดังนี้แม้คดีนี้จะมีทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาทจึงต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 27 ตุลาคม 2534 ก็ตามแต่ปรากฏว่าคดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2534 ซึ่งเป็นวันเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ยังไม่มีผลใช้บังคับโจทก์จะอุทธรณ์คดีนี้ได้หรือไม่จึงต้องพิจารณาตามกฎหมายเดิมก่อนที่จะมีการแก้ไขและเมื่อได้ความว่าจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในศาลชั้นต้นมีจำนวนเกินกว่าสองหมื่นบาทคดีของโจทก์จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นสำหรับปัญหาข้อสุดท้ายที่ว่าโจทก์มีสิทธิได้รับชำระหนี้เพิ่มหรือไม่นั้น เห็นว่า ปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัย ศาลฎีกาสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยเสียก่อน เนื่องจากผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์อาจเกี่ยวโยงไปถึงสิทธิในการฎีกาคดีนี้ต่อไปอีก”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิพากษาใหม่ตามรูปคดี