คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4362/2540

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มีส่วนได้เสียในที่ดิน กับเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของ ม. เจ้ามรดกจำต้องชดใช้หนี้ไถ่ถอนจำนองที่ดินแทนจำเลยซึ่งเป็นผู้จำนอง เพื่อปัดป้องมิให้สิทธิของโจทก์ในที่ดินต้องถูกกระทบกระเทือน จะต้องเสี่ยงภัยเสียสิทธิในที่ดินเพราะอาจถูกผู้รับจำนองบังคับยึดออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้ โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงใช้หนี้ตามสัญญาจำนองแทนจำเลยจนเป็นที่พอใจของผู้รับจำนอง โดยได้มีการไถ่ถอนจำนองแล้วย่อมเข้ารับช่วงสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้บังคับเอาแก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 230 หาใช่เรื่องจัดการงานนอกสั่งหรือลาภมิควรได้ไม่ แม้เป็นการขืนใจลูกหนี้ แต่เมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้นั้นอันเนื่องจากจำเลยไม่ยอมไถ่ถอนจำนองและหากไม่มีการไถ่ถอนจำนองโจทก์ก็ย่อมเสียสิทธิในที่ดินไปโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย
โจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิจากผู้รับจำนองมาไล่เบี้ยเอาจากจำเลยผู้จำนอง ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ได้ในนามของตนเอง เมื่อหนี้เดิมผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับจำนองแม้หนี้ที่ประกันนั้นขาดอายุความแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 189 เดิม ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายหมี จันทร์ศิริ เจ้ามรดกซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2531 จำเลยที่ 1 เป็นบุตรจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 เป็นหลานเขยนางเลี้ยงหรือบุญเลี้ยง จันทร์ศิริ เดิมนายหมีและนางเลี้ยงเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ระหว่างวันที่ 27 ถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2510 นายหมีมอบอำนาจให้นางเลี้ยงไปไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 8 จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาอุบลราชธานี โดยลงชื่อในใบมอบอำนาจที่ไม่ได้กรอกข้อความ แต่นางเลี้ยงได้ร่วมกับจำเลยทั้งสองฉ้อโกงนายหมี โดยจำเลยที่ 2 กรอกข้อความลงในใบมอบอำนาจอันเป็นเท็จและแจ้งเท็จว่านายหมียกที่ดินพิพาทให้นางเลี้ยงเจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงจดทะเบียนให้ ต่อมานางเลี้ยงได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 โดยความรู้เห็นของจำเลยที่ 2 แล้วจำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินแปลงพิพาทไปจำนองไว้กับธนาคารกสิกรไทย จำกัดเพื่อเป็นประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1 และหรือที่ 2 เป็นหนี้ในวงเงินไม่เกิน 1,000,000 บาทนายหมีเจ้ามรดกได้ดำเนินการฟ้องร้องเพิกถอนสัญญาให้ที่ดินพิพาทระหว่างนายหมีกับนางเลี้ยงและเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างนางเลี้ยงกับจำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดโดยคำพิพากษาของศาลฎีกาให้เพิกถอนนิติกรรมทั้งสองฉบับปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 386-387/2528 ของศาลชั้นต้น ต่อมาธนาคารกสิกรไทย จำกัด ได้บอกกล่าวให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองมิฉะนั้นจะดำเนินการบังคับจำนองที่ดินพิพาท โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทหลายครั้ง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยโจทก์ผู้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทจำต้องชดใช้หนี้จำนองแทนจำเลยทั้งสองเป็นเงิน 401,469.26 บาท เพื่อปัดป้องมิให้สิทธิของโจทก์ในที่ดินดังกล่าวถูกกระทบกระเทือนโจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิของธนาคารกสิกรไทย จำกัด ได้ติดตามให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินจำนวนดังกล่าว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้เงินจำนวน 401,469.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2535 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ เฉพาะส่วนดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเวลา 220 วัน เป็นเงิน 18,148.60 บาทรวมต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 419,617.86 บาท

จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์เป็นมูลหนี้ละเมิด โจทก์จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิของเจ้าหนี้เพื่อบังคับจำเลยทั้งสองได้ เพราะการรับช่วงสิทธิย่อมมีขึ้นโดยอำนาจของกฎหมาย นอกจากนี้การกระทำของโจทก์ยังเป็นการฝืนใจลูกหนี้คือจำเลยทั้งสอง ทั้งธนาคารเจ้าหนี้ก็ไม่เคยบอกกล่าวบังคับจำนองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ตามฟ้องแต่ประการใด ขณะโจทก์ไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทนั้น บัญชีของจำเลยที่ 2 ยังคงเดินสะพัดอยู่ ส่วนจำเลยที่ 1 ไม่เคยเบิกเงินจากบัญชีที่ตนนำที่ดินพิพาทมาจำนองเป็นประกัน หนี้ตามฟ้องเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 กู้เบิกเงินเกินบัญชีแต่ผู้เดียว จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ และหากฟ้องโจทก์เป็นความจริง ฟ้องโจทก์ก็ขาดอายุความ 1 ปีแล้ว เพราะโจทก์ในฐานะภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายหมีและผู้รับมรดกตามพินัยกรรมได้ทราบถึงการกระทำของจำเลยทั้งสองตามที่โจทก์ฟ้องบังคับให้จำเลยทั้งสองไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทเป็นคดีหมายเลขแดงที่ 626/2534 ของศาลชั้นต้น ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 419,617.86 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน401,469.26 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินต้นจำนวน 401,469.26 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 9มีนาคม 2536 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า เดิมนายหมีและนางเลี้ยงเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ระหว่างวันที่ 27 ถึงวันที่ 29 สิงหาคม 2510 นายหมีได้มอบอำนาจให้นางเลี้ยงไปไถ่ถอนที่ดินโฉนดเลขที่ 8 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองยโสธรจังหวัดยโสธร จากธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด สาขาอุบลราชธานี โดยลงชื่อในใบมอบอำนาจที่มิได้กรอกข้อความ นางเลี้ยงได้ร่วมกับจำเลยทั้งสอง โดยจำเลยที่ 2 กรอกข้อความลงในใบมอบอำนาจอันเป็นเท็จว่านายหมียกที่ดินพิพาทให้นางเลี้ยง เจ้าพนักงานที่ดินหลงเชื่อจึงจดทะเบียนยกให้ที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2510 ต่อมาวันที่8 กุมภาพันธ์ 2528 นางเลี้ยงได้จดทะเบียนโอนขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบุตรสาวของจำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต และไม่ได้เสียค่าตอบแทน เมื่อวันที่ 5 เมษายน2528 จำเลยที่ 1 ได้นำที่ดินพิพาทไปจำนองไว้แก่ธนาคารกสิกรไทย จำกัด เป็นประกันหนี้ที่จำเลยที่ 1 และหรือจำเลยที่ 2 เป็นหนี้ในวงเงินไม่เกิน 1,000,000 บาท การกระทำของบุคคลทั้งสามเป็นการร่วมกันฉ้อฉลนายหมี นายหมีได้ดำเนินการฟ้องร้องเพิกถอนสัญญาให้ที่ดินพิพาทระหว่างนายหมีกับนางเลี้ยง และเพิกถอนนิติกรรมซื้อขายระหว่างนางเลี้ยงกับจำเลยที่ 1 คดีถึงที่สุดโดยคำพิพากษาศาลฎีกาให้เพิกถอนนิติกรรมทั้งสองฉบับดังกล่าวปรากฏตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 386-387/2528 ของศาลชั้นต้น ส่วนสัญญาจำนองที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยที่ 1 กับธนาคารกสิกรไทย จำกัด โจทก์และสามีโจทก์มิได้ฟ้องขอให้เพิกถอน ต่อมาธนาคารกสิกรไทย จำกัด ได้บอกกล่าวให้โจทก์ไถ่ถอนจำนองมิฉะนั้นจะดำเนินการบังคับจำนองที่ดินพิพาท โจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองชำระหนี้และไถ่ถอนจำนอง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทจำต้องไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแทนเป็นเงิน 401,469.26 บาท คดีจึงมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จำเลยที่ 1 ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ และคดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่

ปัญหาข้อแรกที่ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น จำเลยทั้งสองต่อสู้ว่า โจทก์มิได้บรรยายให้เห็นชัดว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทได้มาโดยวิธีใด มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทอย่างไร และเงินที่นำไปไถ่ถอนการจำนองเป็นเงินของโจทก์หรือของกองมรดกนายหมีหรือไม่อย่างไร ทำให้จำเลยทั้งสองไม่อาจเข้าใจฐานะของโจทก์ว่าอยู่ในฐานะใดมาฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายหมี จันทร์ศิริ ระหว่างโจทก์เป็นทายาทของนายหมี โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาทจำต้องไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแทนจำเลยทั้งสองจึงขอให้จำเลยทั้งสองชำระเงินคืนโจทก์นั้น ถือได้ว่าฟ้องโจทก์ได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของการรับช่วงสิทธิ คำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาครบถ้วนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรคสอง แล้ว โดยที่โจทก์ไม่ต้องบรรยายว่าเงินที่นำไปไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทเป็นเงินของใคร เพราะเป็นรายละเอียดที่โจทก์สามารถนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม…

ปัญหาข้อที่ 3 ที่ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ โจทก์ตั้งประเด็นมาในคำฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ มีส่วนได้เสียในที่ดินพิพาท กับเป็นทายาทและผู้จัดการมรดกของนายหมีเจ้ามรดกจำต้องชดใช้หนี้จำนวน 401,469.26 บาท เป็นการไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแทนจำเลยทั้งสอง เพื่อปัดป้องมิให้สิทธิของโจทก์ในที่ดินดังกล่าวต้องถูกกระทบกระเทือน โจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิของธนาคารกสิกรไทย จำกัด จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินดังกล่าวแก่โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่า มูลหนี้ตามฟ้องเกิดจากการละเมิดของจำเลยทั้งสอง โจทก์จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองได้ เพราะการรับช่วงสิทธิเกิดขึ้นด้วยอำนาจกฎหมาย ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อสัญญาจำนองที่ดินพิพาทไม่มีการเพิกถอนก็ต้องถือว่าเป็นสัญญาจำนองที่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ซึ่งเป็นทายาทของนายหมีจะต้องเสี่ยงภัยเสียสิทธิในที่ดินพิพาทซึ่งเป็นทรัพย์มรดกของนายหมี เพราะอาจถูกธนาคารกสิกรไทย จำกัด ผู้รับจำนองบังคับยึดที่ดินพิพาทออกขายทอดตลาดชำระหนี้ได้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกจึงใช้หนี้ตามสัญญาจำนองแทนจำเลยทั้งสองจนเป็นที่พอใจของธนาคารกสิกรไทย จำกัด เจ้าหนี้โดยได้มีการไถ่ถอนจำนองแล้วโจทก์ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิเรียกร้องของเจ้าหนี้บังคับเอาแก่จำเลยทั้งสองได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 230 หาใช่เรื่องจัดการงานนอกสั่งหรือลาภมิควรได้ดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยไม่ แม้จำเลยทั้งสองจะอ้างว่าที่โจทก์ชำระหนี้แก่ธนาคารดังกล่าวไปนั้นเป็นการขืนใจลูกหนี้ก็ตาม ในเมื่อโจทก์เป็นบุคคลภายนอกได้ชำระหนี้นั้นอันเนื่องจากจำเลยทั้งสองไถ่ถอนจำนอง และหากไม่มีการไถ่ถอนจำนองโจทก์ก็ย่อมเสียสิทธิในที่ดินพิพาทไป โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีนี้

ปัญหาข้อสุดท้ายที่ว่า ฟ้องโจทก์ขาดอายุความหรือไม่นั้น เมื่อได้วินิจฉัยไว้ในข้อที่ 3 แล้วว่าโจทก์เป็นผู้รับช่วงสิทธิจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด มาไล่เบี้ยเอาจากจำเลยทั้งสอง ซึ่งโจทก์ก็ชอบที่จะใช้สิทธิทั้งหลายบรรดาที่เจ้าหนี้มีอยู่โดยมูลหนี้ได้ในนามของตนเอง เมื่อหนี้เดิมธนาคารผู้รับจำนองมีสิทธิบังคับจำนองแม้หนี้ที่ประกันนั้นขาดอายุความแล้วก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 189 เดิม (193/27 ที่แก้ไขใหม่) ฉะนั้น ฟ้องโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share