คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3447/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลโดยโจทก์ตกลงยอมให้ค่าเลี้ยงดูบุตรจำเลยเป็นรายเดือนจนกว่าบุตรจำเลยจะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ข้อตกลงดังกล่าวขึ้นอยู่กับอายุของบุตรจำเลยในอนาคตเป็นเงื่อนไขสำคัญอยู่ในตัว ถ้าบุตรจำเลยตายลงก่อนอายุครบ 20 ปี โจทก์ก็ย่อมไม่มีความผูกพันต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูอีกต่อไป แม้โจทก์ผิดนัดงวดใดแต่โจทก์ก็ได้นำเงินมาวางชำระหนี้ค่าเลี้ยงดู ให้บุตรจำเลยเท่ากับมูลหนี้ที่ตนมีหน้าที่ต้องชำระในขณะนั้น ซึ่งเป็นการชำระหนี้โดยครบถ้วนสมบูรณ์ตามคำพิพากษาตามยอมแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องยึดทรัพย์สินของโจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าเลี้ยงดูทั้งหมดครบทุกงวด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายธีรเธียรถูกคนร้ายแทงตาย โจทก์เป็นมารดาและจำเลยเป็นภริยาของนายธีรเธียร ศาลแพ่งมีคำสั่งตั้งโจทก์และจำเลยเป็นผู้จัดการมรดกของนายธีรเธียรร่วมกัน ก่อนนายธีรเธียรตายโจทก์ได้ฝากทรัพย์ของโจทก์ตามบัญชีทรัพย์ท้ายฟ้องให้นายธีรเธียรไปเช่าตู้นิรภัยธนาคารฝากเก็บไว้ ครั้นนายธีรเธียรตายแล้วโจทก์ประสงค์จะเอาทรัพย์คืน จำเลยคัดค้านว่าทรัพย์ที่ฝากไว้นั้นเป็นมรดกของนายธีรเธียร และไม่ยอมไปเปิดตู้นิรภัยร่วมกับโจทก์จึงฟ้องให้จำเลยไปเปิดตู้นิรภัยธนาคารร่วมกับโจทก์เพื่อเอาทรัพย์คืนให้โจทก์

จำเลยให้การว่า ทรัพย์ที่เก็บไว้ที่ตู้นิรภัยนั้นเป็นทรัพย์ของนายธีรเธียรกับของจำเลยร่วมกัน หาใช่ทรัพย์ของโจทก์ไม่

ก่อนสืบพยาน โจทก์จำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันซึ่งศาลพิพากษาตามยอมมีข้อความตามสัญญาว่า

ข้อ 2. โจทก์ยอมให้ค่าเลี้ยงดูเด็กหญิงวรวรรณบุตรจำเลยไปจนกว่าอายุจะครบ 20 ปีบริบูรณ์ เดือนละ 5,500 บาท โดยเริ่มชำระแต่วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2523 เป็นต้นไป

ข้อ 4. โจทก์จำเลยตกลงตามข้อ 1 ถึงข้อ 3 ไม่ติดใจดำเนินคดีต่อไปหากฝ่ายผิดสัญญาข้อใดข้อหนึ่ง และงวดใดงวดหนึ่งถือว่าผิดนัดทุกงวด ยอมให้บังคับคดีได้ทันที

ต่อมาจำเลยยื่นคำขอให้ศาลออกหมายบังคับคดีโจทก์โดยอ้างว่าโจทก์ผิดนัดไม่ชำระค่าเลี้ยงดูเด็กหญิงวรวรรณงวดวันที่ 5 ธันวาคม 2523 ต้องถือว่าโจทก์ผิดนัดทั้งหมดตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 4 ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับให้จำเลยตามขอ

โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลถอนการยึดอ้างว่า โจทก์ได้จ่ายค่าเลี้ยงดูเรื่อยมาไม่เคยผิดนัด งวดสุดท้ายวันที่ 5 ธันวาคม 2523 นั้นโจทก์ได้จ่ายให้จำเลยแล้วเป็นเช็ค ขอให้ศาลถอนการยึด

จำเลยยื่นคำร้องว่า ที่โจทก์อ้างว่าชำระหนี้ด้วยเช็คนั้น ปรากฏว่าเช็คดังกล่าวถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินถือว่าโจทก์เป็นผู้ผิดนัดศาลสั่งนัดพร้อมเพื่อสอบถาม

วันที่ 19 มีนาคม 2524 ซึ่งเป็นวันนัดพร้อม โจทก์แถลงขอวางเงินค่าเลี้ยงดูงวดเดือนธันวาคม 2523 ถึงเดือนมีนาคม 2524 รวม 4 เดือน เป็นเงิน 22,000 บาท จำเลยแถลงว่าไม่ขอรับเพราะโจทก์ผิดนัดแล้วขอให้ศาลบังคับคดีไป

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เมื่อโจทก์ได้วางเงินเพื่อชำระหนี้แก่จำเลยแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะบังคับคดีต่อไป ให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ และรับเงิน22,000 บาทจากโจทก์ลงบัญชีฝากคลังไว้

จำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้น

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาว่า เมื่อโจทก์ผิดนัด จำเลยชอบที่จะบังคับคดีให้โจทก์ชำระเงินทุกงวดรวมเป็นเงิน 1,167,533 บาท

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์มิได้ตกลงยอมชำระเงินจำนวน 1,167,533 บาท ให้เด็กหญิงวรวรรณ แต่โจทก์ตกลงยอมให้ค่าเลี้ยงดูเด็กหญิงวรวรรณบุตรจำเลยเดือนละ 5,500 บาท จนกว่าเด็กหญิงวรวรรณจะมีอายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ต่างหาก ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวนี้มีความหมายขึ้นอยู่กับอายุของเด็กหญิงวรวรรณในอนาคตเป็นเงื่อนไขสำคัญอยู่ในตัวเพราะอายุของบุคคลย่อมไม่มีความแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่อาจตายลงเมื่อใดก็ได้ ถ้าเด็กหญิงวรวรรณตายลงก่อนอายุครบ 20 ปีโจทก์ก็ย่อมไม่มีความผูกพันต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูดังกล่าวต่อไป ฉะนั้นแม้โจทก์จะได้ชื่อว่าผิดนัดเพราะเช็คที่โจทก์จ่ายเพื่อชำระหนี้ค่าเลี้ยงดูเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2523 เป็นเช็คที่ขึ้นเงินไม่ได้ อันถือไม่ได้ว่าเป็นการชำระหนี้โดยชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 321 วรรคสาม ก็ตาม แต่โจทก์ก็ได้นำเงินมาวางเพื่อชำระหนี้ค่าเลี้ยงดูให้เด็กหญิงวรวรรณจนถึงเดือนมีนาคม 2524 เท่ากับมูลหนี้ที่ตนมีหน้าที่ต้องชำระในขณะนั้นซึ่งเป็นการชำระหนี้โดยครบถ้วนสมบูรณ์ตามคำพิพากษาตามยอมแล้วจึงไม่มีความจำเป็นต้องยึดทรัพย์สินของโจทก์ชำระหนี้ดังกล่าวนั้นอีกที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยต้องกันมาให้ถอนการยึดทรัพย์โจทก์นั้น เป็นการชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 295(1) แล้ว

พิพากษายืน

Share