คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3446/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ขับรถยนต์ของจำเลยที่ 2. ซึ่งได้เอาประกันภัยค้ำจุนไว้กับจำเลยที่ 3 ไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 โดยประมาทชนรถยนต์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสามให้ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 3 ให้การรับว่าได้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ 2 ไว้จริง แต่จำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย เพราะจำเลยที่ 1 ผู้ขับขี่รถยนต์คันนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับขี่รถยนต์ได้ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้ออ้างดังกล่าวจำเลยที่ 3 เป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นในคำให้การ จึงมีหน้าที่นำสืบในข้อนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.ฐ.๑๗๒๘๖ ของจำเลยที่ ๒ ไปในทางการที่จ้างหรือที่ได้รับมอบหมายจากจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ได้เอาประกันภัยรถยนต์คันนี้ไว้กับจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๑ ขับรถยนต์ดังกล่าวด้วยความประมาทขับรถยนต์ของโจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ ให้การว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์คันที่ถูกชน จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างหรือตัวแทนของจำเลยที่ ๒ เหตุที่ชนกันไม่ใช่เกิดเพราะความประมาทของจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ไม่มีใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ตามกฎหมาย ผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยจำเลยที่ ๓ จึงไม่ต้องรับผิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยที่ ๓ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๓ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายว่า จำเลยที่ ๓ ให้การรับว่าได้รับประกันภัยรถยนต์ของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นต้นเหตุที่เกิดความเสียหายในคดีนี้แต่อ้างว่าจำเลยที่ ๓ ไม่ต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัยเนื่องจากจำเลยที่ ๑ ผู้ขับขี่รถยนต์คันนี้ไม่ได้รับอนุญาตให้ขับขี่รถยนต์ได้ตามกฎหมาย ซึ่งเป็นข้อยกเว้นความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ ๒.๑๑.๗ ศาลฎีกาเห็นว่า ข้ออ้างดังกล่าวจำเลยที่ ๓ เป็นฝ่ายกล่าวอ้างขึ้นใหม่ในคำให้การ จำเลยที่ ๓ มีหน้าที่นำสืบตามที่ยกขึ้นกล่าวอ้าง ไม่ใช่โจทก์มีหน้าที่นำสืบดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและที่จำเลยกล่าวในคำแก้ฎีกา ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า ข้อนำสืบของจำเลยที่ ๓ ในประเด็นดังกล่าวรับฟังไม่ได้ จำเลยที่ ๓ จึงต้องร่วมรับผิดด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share