แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีอาญาที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวนถ้าข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมายังไม่พอแก่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้ โดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย
แม้ข้อเท็จจริงฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นของผู้เสียหาย จำเลยเข้าไปปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทตามฤดูกาล ได้เวลาแล้วก็ถอนไป มีการเก็บเกี่ยวและเข้าไปในที่พิพาทใหม่ทุกปี การเข้าไปไถที่พิพาทของจำเลยเป็นการเข้าไปโดยไม่มีข้ออ้างได้ตามกฎหมายก็ตามแต่การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทของผู้เสียหาย เมื่อผู้เสียหายมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีผู้เสียหายก็หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายย่อมสิ้นสุดลง ดังนั้น การที่จำเลยเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาท จึงเป็นการเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในขณะที่สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายสิ้นสุดลงแล้ว การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๓ จำเลยกับพวกอีกหลายคนบุกรุกเข้าไปไถที่ดินและปลูกมันสำปะหลังในที่ดินของนายเฉลิมศักดิ์และนายวรวิทย์ เพื่อถือการครอบครองที่ดิน เป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๖๒, ๓๖๕(๒), ๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกและปรับ โดยให้รอการลงโทษจำคุก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒๑๘ ในการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายศาลฎีกาต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยมาแล้วจากพยานหลักฐานในสำนวน ซึ่งศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าที่ดินพิพาทเป็นของผู้เสียหาย จำเลยไม่มีบ้านในที่พิพาท จำเลยเข้าไปปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทอย่างเดียว การปลูกมันสำปะหลังย่อมปลูกตามฤดูกาล ได้เวลาแล้วก็ต้องถอนไปเมื่อเป็นดังนี้ แม้จำเลยจะปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทมาหลายปี จำเลยย่อมต้องมีการเก็บเกี่ยวและเข้าไปในที่พิพาทใหม่ทุกปี ที่จำเลยนำสืบว่าที่พิพาทเป็นของนางต่วนฟังไม่ได้การเข้าไปไถที่พิพาทของจำเลยจึงเป็นการเข้าไปโดยไม่มีข้ออ้างได้ตามกฎหมาย และเป็นความผิดฐานบุกรุก ข้อเท็จจริงตามที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาดังกล่าวข้างต้นยังไม่พอแก่การวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามฎีกาของจำเลยเห็นสมควรวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพิ่มเติมโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยและฟังข้อเท็จจริงว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งผู้เสียหายมีเพียงสิทธิครอบครองจำเลยได้บุกรุกเข้าไปไถปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ผู้เสียหายทราบจากคำบอกกล่าวของนายหนูตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ นั้นและผู้เสียหายให้นายหนูไปห้ามปรามจำเลย จำเลยก็ไม่เชื่อฟัง คงทำกินในที่พิพาทโดยการปลูกมันสำปะหลังเมื่อต้นมันโตได้ขนาดก็ถอนไปและทำการปลูกใหม่ตลอดมาจนโจทก์ฟ้องคดีนี้ แล้ววินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายต่อไปว่า การที่จำเลยบุกรุกเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทเป็นการแย่งการครอบครองที่พิพาทของผู้เสียหายเมื่อผู้เสียหายมิได้ฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน ๑ ปี นับแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งผู้เสียหายถูกจำเลยแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕ วรรคสองผู้เสียหายก็หมดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองที่พิพาท สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายย่อมสิ้นสุดลงดังนั้น การที่จำเลยเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในที่พิพาทในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๒๓ ตามที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นการเข้าไปไถและปลูกมันสำปะหลังในขณะที่สิทธิครอบครองในที่พิพาทของผู้เสียหายสิ้นสุดลงแล้วการกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์