คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3441/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

บันทึกข้อตกลงระหว่างโจทก์จำเลยซึ่งพนักงานสอบสวนทำไว้มีใจความว่า จำเลยที่ 2 โดย ช.หุ้นส่วนผู้จัดการและท. ผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ยินยอมชดใช้เงินทั้งสิ้น 107,704 บาท 50 สตางค์ให้แก่โจทก์ โดยตกลงชำระงวดแรกในเดือนที่ตกลงกันเป็นเงิน 20,000บาท ต่อไปชำระทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี หากผิดสัญญายอมให้ฟ้องร้องดำเนินการทางแพ่งอย่างเดียว ส่วนการร้องทุกข์คดีอาญาโจทก์ไม่ประสงค์ให้ดำเนินคดีต่อไป ข้อความเช่นนี้เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
แม้ ช. หุ้นส่วนผู้จัดการห้าง ฯ จำเลยที่ 2 ได้ลงลายมือชื่อในสัญญาประนีประนอมยอมความโดยไม่ได้ประทับตราสำคัญของห้าง ฯ แต่เมื่อมีข้อความระบุไว้แจ้งชัดว่า ช. เป็นผู้ทำความตกลงในนามของห้าง ฯ ถือได้ว่าห้าง ฯ จำเลยที่ 2 ได้ตกลงชดใช้เงินให้แก่โจทก์อันมีลักษณะเป็นการประนีประนอมยอมความ จึงต้องผูกพันรับผิดตามข้อความในบันทึกด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันกู้เงินโจทก์หลายคราวด้วยกันรวมเป็นเงิน 105,000 บาท แต่ออกเช็คสั่งจ่ายเพื่อชำระหนี้ให้โจทก์ 7 ฉบับรวมเป็นเงิน 75,000 บาท และเช็คทุกฉบับขึ้นเงินไม่ได้ จำเลยทั้งสองได้ตกลงกับโจทก์ที่สถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชยเขต 2 ยอมใช้เงิน 107,704 บาท 50 สตางค์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีให้แก่โจทก์โดยผ่อนชำระเป็นรายเดือน แต่ในที่สุดจำเลยทั้งสองไม่ผ่อนชำระตามข้อตกลง ขอให้พิพากษาจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยที่ 1 ให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม จำเลยไม่เคยสั่งจ่ายเช็คพิพาทเพื่อชำระหนี้โจทก์ แต่จำเลยเคยกู้เงินโจทก์ 50,000 บาท และสั่งจ่ายเช็คลงวันที่ล่วงหน้าให้ยึดถือเป็นประกันการชำระหนี้ จำเลยไม่เคยตกลงชำระเงิน 107,704 บาท 50 สตางค์ ให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

จำเลยที่ 2 ให้การว่า ไม่เคยกู้ยืมเงินโจทก์ ไม่เคยสั่งจ่ายเช็คตามฟ้องให้โจทก์ และไม่เคยตกลงจะชดใช้เงินจำนวน 107,704บาท 50 สตางค์ให้แก่โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงซึ่งจำเลยทั้งสองทำไว้ต่อโจทก์ที่สถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชยเขต 2 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามบันทึกดังกล่าว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 107,704 บาท 50 สตางค์พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า บันทึกข้อตกลงไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชดใช้เงินให้แก่โจทก์เฉพาะเช็ค 6 ฉบับ รวมเป็นเงิน 70,000 บาท พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ และยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาว่าบันทึกข้อตกลงซึ่งโจทก์จำเลยทำไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลพลับพลาไชยเขต 2 เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความหรือไม่นั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้นายทวีปมาทำความตกลงกับโจทก์ตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวจริง ซึ่งมีใจความว่านายทวีป อิศรานุกูลผู้รับมอบอำนาจจากนางเง้า และห้างหุ้นส่วนจำกัด ล. ขวัญชัย โดยนายเชาวลิต ลิมานากูล หุ้นส่วนผู้จัดการ ยินยอมชดใช้เงินตามจำนวนที่เป็นหนี้ในเช็ค 7 ฉบับที่ได้แจ้งความไว้ก่อนคิดเป็นเงินในเช็ครวม 75,000 บาท กับค่าเสียหาย2,704 บาท 50 สตางค์ และเงินอีก 30,000 บาท ที่นางเง้ารับไปโดยยังไม่ได้ออกเช็คชำระหนี้ให้ โดยห้างหุ้นส่วนจำกัด ล. ขวัญชัย และนายทวีปตกลงว่าจะชดใช้งวดแรกในเดือนที่ตกลง (มีนาคม 2522) เป็นเงิน 20,000 บาท ต่อไปชำระให้ทุกเดือน เดือนละ 10,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี หากผิดสัญญา ยอมให้ฟ้องร้องดำเนินการทางแพ่งอย่างเดียวส่วนการร้องทุกข์คดีอาญาให้รับโทษนั้น ผู้แจ้ง (โจทก์) ไม่ประสงค์ให้ดำเนินคดีต่อไปศาลฎีกาเห็นว่า ข้อความตามที่กล่าวมานี้มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 จำเลยที่ 1 จึงต้องผูกพันรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามที่ตกลงไว้

สำหรับห้างหุ้นส่วนจำกัด ล. ขวัญชัย จำเลยที่ 2 ซึ่งนายเชาวลิตหรือชวลิต ลิมานากูลหรือลิมปนางกูร หุ้นส่วนผู้จัดการ ได้มาทำความตกลงและลงลายมือชื่อในเอกสารบันทึกข้อตกลงดังกล่าวยอมรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินให้แก่โจทก์ด้วยนั้น เห็นว่าจำเลยที่ 1 เป็นมารดาของนายชวลิตและอยู่ร่วมบ้านเดียวกันคือที่ห้างฯ จำเลยที่ 2 นั้นเอง นอกจากนี้ยังปรากฏว่าเช็คพิพาทจำนวน 7 ฉบับก็มีอยู่ถึง 5 ฉบับ ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้สั่งจ่ายชำระหนี้ให้โจทก์ มีตราสำคัญของห้างฯ จำเลยที่ 2 ประทับอยู่ที่หลังเช็ค น่าเชื่อได้ว่าจำเลยที่ 2 ทราบดีอยู่แล้วว่าตนมีส่วนเกี่ยวข้องพัวพันที่จะต้องรับผิดในหนี้สินที่จำเลยที่ 1 เป็นหนี้โจทก์ด้วย และเกรงว่าอาจจะถูกโจทก์ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีอาญาเกี่ยวกับเช็คพิพาททำนองเดียวกับจำเลยที่ 1 นายชวลิตหุ้นส่วนผู้จัดการจึงยอมตกลงร่วมกับจำเลยที่ 1 ชดใช้เงินให้แก่โจทก์ แม้บันทึกข้อตกลงจะไม่มีตราสารสำคัญของห้างฯ จำเลยที่ 2 ประทับด้วยนั้น แต่ก็มีข้อความระบุไว้แจ้งชัดแล้วว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ล. ขวัญชัย โดยนายเชาวลิต ลิมานากูล หุ้นส่วนผู้จัดการ เป็นผู้ทำความตกลงยอมชดใช้เงินให้โจทก์ คือยอมชดใช้เงินให้ในนามของห้างฯ ถือได้ว่าห้างฯจำเลยที่ 2 ได้ตกลงยอมชดใช้เงินให้แก่โจทก์ อันมีลักษณะเป็นการประนีประนอมยอมความเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องผูกพันรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ด้วย

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น

Share